จากกรณีญาติของ เด็กชายฟลุ๊ค หรือ วงศธร บางขุนทด อายุ 13 ปี มีการลงภาพน้องคนตายจากเหตุถูกทำร้ายร่างกาย ทราบชื่อ คนก่อเหตุ คือ นายโดม หรือ นายไตรภพ อายุ 18 ปี ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของคนตาย โดยมีการโพสต์ลงในเฟสบุ๊กระบุว่า "ทำไมตำรวจไทยเป็นแบบนี้ ความยุติธรรมของน้องหนูอยู่ไหน ทำไมถึงกล้าปล่อยคนผิดออกมาเดินเล่นชิล ๆ ได้อีก นี่มันถูกต้องแล้วหรอยังมีความเป็นคนกันอยู่มั้ย มีกฏหมายไว้เพื่ออะไรทำไมถึงไม่จับไอ้พวกนี้เข้าคุกไป"
วันที่ 8 พ.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ตรวจสอบเฟซบุ๊กของนายโดมย้อนหลัง มีการโพสต์ความเห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยวันที่ถูกจับมีการโพสต์ภาพคู่กับเพื่อน ซึ่งในมือฝั่งขวาถูกใส่กุญแจมือ ระบุแคปชั่นว่า “ถ้าไม่ผิด ผมสู้สุดใจ” และนอกจากนี้ยังพบว่าภายในเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายโดมคนก่อเหตุ มีการโพสต์อำลาและฝากถึงกลุ่มพรรคพวก ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปศาล
จากนั้นยังมีการออกมาโพสต์ทำนองว่า “ออกมาลอยกะทงกับพวกน้อง ๆ ก่อน เดียวค่อยว่ากันไหม่ในศาลนะค้าบ บ้านผมรวยไม่ต้องห่วง” ทำให้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกระแสในโลกออนไลน์
วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวลงพื้นที่วัดห้วยโป่ง ต.ห้วยโป่ง อ.เมือง จ.ระยอง ซึ่งเป็นที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของ เด็กชายฟลุ๊ค บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ซึ่งญาติได้มีการตั้งศพภายในศาลา จะมีพิธีฌาปนกิจศพในวันที่ 10 พ.ย 65
ในขณะที่บ้านที่เกิดเหตุภายใน ซ.หนองหว้า ต.ห้วยโป่ง อ.เมือง จ.ระยอง เป็นบ้านของเด็กชายฟลุ๊ค คนตาย ลักษณะเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ประตูของบ้านเปิดโล่ง เนื่องจากยังสร้างไม่แล้วเสร็จ ทำเป็นที่พักชั่วคราว แต่ภายในบ้านหลังดังกล่าวมีญาติพี่น้องและยายของคนตายอาศัยอยู่ด้วย
จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุคือวันที่ 3 พ.ย. 65 เวลา 12.21 น. มีกล้องวงจรปิดหน้าบ้านที่เกิดเหตุ จับภาพรถมอเตอร์ไชค์สีขาว-แดง ของนายโดม เป็นคนขับ และมี นายปริ้น ซ้อนท้ายมาด้วยกัน ซึ่งจากภาพกล้องวงจรปิดจะได้ยินเสียงนายโดมมีการตะโกนท้าทายและหาเรื่องคนตาย อีกทั้งยังพยายามพูดทำนองว่า ”กูไม่กลัว แน่จริงก็แจ้งตำรวจมาจับ” และยังได้พยามชี้หน้าข่มขู่เพื่อนบ้าน รวมทั้งญาติพี่น้องของฝั่งคนตายห้ามไม่ให้เข้ามายุ่ง
จากนั้นก็จะเห็นว่านายโดมเดินเข้าไปภายในบ้านซึ่งไม่มีกล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ได้ แต่จะได้ยินเสียงคล้ายมีการทุบตีทำร้ายร่างกายกัน ก่อนที่จะเห็นเด็กวัยรุ่น 3 คน หนึ่งในนั้นคือนายปริ้นคนที่ซ้อนท้ายมากับนายโดม และ นายแบงค์ ซึ่งเป็นคนดูต้นทางตั้งแต่แรก เดินตามเข้าไปภายในบ้านที่เกิดเหตุแต่ไม่ได้มีการช่วยกันทำร้ายร่างกาย เป็นการเข้าไประงับเหตุและห้ามไม่ให้นายโดมทำร้ายร่างกายนายฟลุ๊คคนตาย
ทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม ในวันที่ 3 พ.ย. 65 เวลา 12.28 น. หลังเกิดเหตุที่บ้านเพียง 3-4 นาที ปรากฏว่ากล้องวงจรปิดบริเวณถนนสุขุมวิท มุ่งหน้าไปยังสถานีอนามัยตำบลห้วยโป่ง จับภาพรถมอเตอร์ไซต์สีแดง ซึ่งมีผู้ชายใส่เสื้อสีเหลืองเป็นคนขับ ทราบชื่อคือ ภูริช คุณพุทธา พี่ชายคนตาย เป็นคนขับ และจะสังเกตเห็นว่าตัวของน้องฟลุ๊ค คนตาย ซึ่งมีลักษณะนั่งหัวตกอยู่บริเวณตรงกลาง ส่วนคนที่นั่งปิดท้ายคือนายโดมหรือนายไตรภพ คนก่อเหตุ โดยขณะนั้นหลังจากที่พบว่าหมดสติได้พากันนำตัวส่งสถานีอนามัยใกล้บ้าน
นายภูริช คุณพุทธา หรือ ปู อายุ 20 ปี พี่ชายของคนตาย เผยว่า ในวันเกิดเหตุนั้นตนเองและยายรวมถึงญาติคนอื่นอาศัยอยู่ในบ้านแต่อยู่ในห้องใครห้องมัน ซึ่งได้ยินเสียงนายโดมบุกเข้ามาที่บ้านแล้วส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติของเจ้าตัว เพราะโดยปกตินายโดมจะเข้านอกออกในบ้านได้ เนื่องจากยายของตนเองก็รักในโดมเหมือนลูกหลานคนหนึ่งเพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจึงสามารถเข้าออกบ้านได้ แต่หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคล้ายคนถูกทำร้ายหรือมีการทุบตีกันและได้ยินเสียงนายฟลุ๊ค น้องชาย มีการตะโกนด่าทอกับนายโดม ตนเองจึงได้ออกจากห้องนอนออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น จังหวะดังกล่าวเห็นนายโดมกระโดดถีบและทำร้ายร่างกายน้องชายและยังมีการใช้สายไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งมีพลาสติกสีดำหุ้มอยู่ข้างนอก ฟาดและทุบตีบริเวณศีรษะของน้องชาย
จนกระทั่งนอนจมกองอยู่บนพื้นแผ่นพาเรทพลาสติกสีฟ้า และในตอนนั้นก็สังเกตเห็นว่าในมือของนายฟลุ๊คน้องชายมีเหล็กสแลง ถืออยู่ในมือ แต่เจ้าตัวไม่ได้มีการใช้ในการทุบตีนายโดม เพราะเข้าใจว่าเป็นรุ่นพี่หรือพี่ชายที่โตมาด้วยกัน จึงไม่ได้มีการทำร้ายหรือต่อสู้ แต่ยอมให้นายโดมทำร้ายแต่ฝ่ายเดียว และช่วงจังหวะที่เผลอตนเองทราบว่านอกจากมีการกระโดดถีบและกระทืบน้องชายแล้ว ยังได้มีการใช้สายไฟแรงสูงดังกล่าวในการรัดคอและมีการใช้มือบีบคอซ้ำ จนกระทั่งน้องชายตนเองหมดสติและนอนแน่นิ่ง
หลังจากนั้นตนเองจึงตัดสินใจนำน้องชายขึ้นซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อนำตัวส่งสถานีอนามัยใกล้บ้าน จังหวะที่ตนเองนำน้องชายนั่งซ้อนท้ายเพื่อไปส่งโรงพยาบาล ตัวของนายโดมกระโดดขึ้นปิดท้ายเป็นคนที่ 3 อ้างว่าจะช่วยประคองนำตัวส่งอนามัย แต่ระหว่างที่นำส่งนั้นก็ไม่รู้ว่ามีการบีบรัดคอหรือทำอะไรกับน้องชายอีก เพราะตนเองก็ไม่ได้ทันหันไปมอง รีบขับรถพาน้องชายไปส่งสถานีอนามัยให้ปลอดภัย
สำหรับชนวนเหตุ ตนเองมาทราบภายหลังคือ ตัวของน้องชายไปเล่นกับวัยรุ่นอีกตำบลหนึ่งคือ “กลุ่มบ้านแขก” ซึ่งการไปเล่นนั้นทั้งเล่นเกมและไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก แต่ปรากฏว่าตัวของนายโดมซึ่งเป็นหัวหน้าโจกฝั่งห้วยโป่ง เกิดความไม่พอใจที่น้องชายของตนเองข้ามฝั่งไปเล่นกับฝั่งบ้านแขกซึ่งล่าสุดเพิ่งจะเป็นอริกัน จึงเกิดความไม่พอใจบุกเข้ามาทำร้ายร่างกายน้องชายของตนเองปางตาย จนกระทั่งทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยอาการสมองบวมเลือดคลั่งในสมอง และตามตัวเกิดอาการพกช้ำ
อย่างไรก็ตาม นายภูริช หรือ ปู เผยอีกว่า ตนเองก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์เพียงแค่น้องชายของตนเองไปเล่นกับกลุ่มวัยรุ่นบ้านแขก จะกลายเป็นชนวนเหตุบุกมาทำร้ายกันถึงขั้นเสียชีวิตแบบนี้ และก่อนที่ตัวของนายโดมจะบุกมาน้องชายก็ยังเอ่ยปากบอกว่า “พี่ไอ้โดมจะมาตีผม” ซึ่งถ้าหากตนเองเชื่อตามที่น้องบอกก็คงจะปกป้องน้องชายได้
แต่ส่วนตัวก็นึกย้อนว่าโดยปกตินายโดมกับนายฟลุ๊คน้องชาย แม้จะมีปัญหาทะเลาะกันแต่ก็ไม่เคยรุนแรงถึงขั้นชกต่อยหรือฆ่ากันตายแบบนี้ ดังนั้นตนเองจึงมองว่าการกระทำของเจ้าตัวค่อนข้างเกินกว่าเหตุ
ทีมข่าวได้รับคลิปเสียงที่นายโดมได้มีการส่งไปหาเพื่อน โดยมีการโทรผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นการอธิบายและแก้ตัวกับกลุ่มเพื่อนว่าไม่ได้มีฆ่าน้องฟลุ๊ค โดยอ้างว่า “สิ่งที่ใช้ก่อเหตุในการฟาดทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่สายไฟอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่เป็นสายยางพลาสติกซึ่งเป็นสายยางรดน้ำ และการเข้าไปทำร้ายร่างกายนั้นก็เป็นการชกต่อยตามปกติ ก่อนที่ตัวของน้องฟลุ๊คจะล้มลงหัวฟาดพื้น น้ำลายฟูมปาก และเกิดอาการช็อกที่มีการใช้กัญชา ไม่หลับไม่นอน จนเป็นเหตุทำให้เกิดอาการ และหลังจากที่เห็นว่าน้ำลายฟูมปากก็ยังพาตัวไปส่งสถานีอนามัยและพยายามใช้มือยัดเข้าไปที่ปากกลัวว่าจะกัดลิ้นตัวเอง“
นายแบงค์ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นเด็กวัยรุ่นฝั่งของนายโดมคนก่อเหตุ ในฐานะคนที่เข้าไปดูต้นทางก่อนที่จะไปบอกให้นายโดมคนก่อเหตุเข้ามาบุกทำร้ายนายฟลุ๊คคนตาย ซึ่งจากภาพกล้องวงจรปิดนายแบงค์คือคนที่สวมใส่กางเกงไม่ใส่เสื้อ เปิดใจว่า ในวันดังกล่าวช่วงเวลาประมาณเที่ยง นายโดมและนายปริ้น ขับรถมอเตอร์ไซค์มาหาตนเองที่บ้าน ซึ่งบ้านอยู่ไม่ไกลจากบ้านนายฟลุ๊คคนตาย แล้วตนเองก็เป็นเพื่อนสนิทของเจ้าตัว โดยนายโดมสั่งให้ตนเองไปเรียกนายฟลุ๊ค ให้ออกมาเคลียร์ใจกันหลังจากเกิดความเข้าใจผิดเรื่องของการไปเล่นกับวัยรุ่นต่างหมู่บ้าน แต่เมื่อตนเองเข้าไปเรียกนายฟลุ๊คที่บ้าน ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่ยอมเดินตามออกมา และฝากพูดว่า “กูไม่กลัวมันหรอกไอ้โดม เจอที่ไหนกูจัดการได้ที่นั่น“ หลังจากนั้นเมื่อนายโดมรู้ว่านายฟลุ๊ค มีการพูดด้วยประโยคคำดังกล่าว จึงเกิดความไม่พอใจ ขับรถมอเตอร์ไซด์ไปที่หน้าบ้านของนายฟลุ๊ค ตามที่ปรากฏภาพจากกล้องวงจรปิด แล้วไปหาเรื่อง
โดยตนเองก็กลัวว่าทั้งคู่จะทะเลาะกันรุนแรง จึงได้เดินตามรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปที่หน้าบ้านนายฟลุ๊ค โดยตอนนั้นตนเองกับนายปริ้นยืนอยู่หน้าบ้าน ไม่ได้เข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุ แต่สังเกตุเห็นว่าตัวของนายโดมมีการกระโดดถีบยอดอกนายฟลุ๊คจนกระทั่งล้มลง แล้วมีการกระทืบทำร้ายร่างกาย ซึ่งตนเองและนายปริ้นเห็นท่าไม่ดีจึงพยามเข้าไปเพื่อห้ามเหตุ แต่ไม่ได้มีการช่วยกันทำร้ายร่างกายอีก ตอนนั้นก็พยามสอบถามนายโดมว่าทำไมต้องทำร้ายนายฟลุ๊ค ซึ่งนายโดมอ้างว่า “ไอฟลุ๊คมีมีด จะเอามาทำร้ายตน จึงต้องป้องกันตัว” แต่ตอนนั้นไม่ทันได้สังเกตว่านายฟลุ๊คคนตายมีมีดจริงหรือไม่ เพราะพยายามระงับเหตุและแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่ส่วนสาเหตุเรื่องของการใช้สายไฟรัดคอนั้น ก็ไม่สามารถยืนยันได้เพราะไม่เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง
สำหรับชนวนเหตุที่นายโดมต้องการที่จะเคลียร์ใจกันกับนายฟลุ๊คคนตาย เป็นเพราะว่าไม่ชอบที่เจ้าตัวไปเล่นกับฝั่งบ้านแขก ซึ่งเป็นอริกับนายโดม เนื่องจากเมื่อเดือนที่แล้ว กลุ่มของฝั่งวัยรุ่นบ้านแขกบุกมาทำร้ายคนในหมู่บ้านฝั่งห้วยโป่ง ได้รับบาดเจ็บเย็บ 16 เข็ม ทำให้ตัวของนายโดมจึงยกพวกไปดวลตัวต่อตัว เพื่อเคลียร์ปัญหาที่บุกมาทำร้ายฝั่งของห้วยโป่ง ซึ่งวันนั้นตนเองก็เดินทางไปด้วย โดยมีการใช้กำลังคือกำปั้นในการเคลียร์ปัญหา แต่ไม่ได้มีเรื่องของอาวุธหนัก หลังจากที่เคลียร์กันจบก็แยกย้ายแต่ก็ไม่คิดว่าตัวของนายฟลุ๊ค คนตาย จะไปยุ่งเกี่ยวกับฝากบ้านแขกจนเป็นเหตุทำให้นายโดมไม่พอใจ
ทั้งนี้ส่วนตัวในฐานะรุ่นน้องฝั่งของนายโดน ยอมรับว่า โดยปกติแล้วนายโดมจะอ้างตัวเองว่าเป็นรุ่นพี่หรือหัวโจก ซึ่งหากมีคำสั่งหรือห้ามไม่ให้กระทำการใด ๆ แล้วมีคนฝ่าฝืน ก็จะถูกลงโทษทางเรียกไปชกต่อย และเรียกไปทำโทษโดยวิธีการอื่นๆ ซึ่งตนเองก็เคยฝ่าฝืน เคยโดนเรียกไปต่อยสั่งสอนเหมือนกัน ซึ่งเหตุการณ์ของนายฟลุ๊คครั้งนี้ ตนเองก็เชื่อว่าเป็นลักษณะทำนองเดียวกัน
ด้าน นางบุญทา ทาเพียงทุ อายุ 62 ปี ยายของคนตาย เปิดเผยว่า เมื่อคืนนี้เพิ่งจะได้ยินเสียงหลานชายเดินอยู่ในบ้าน จากนั้นคนในบ้านก็ฝันว่าหลานชายมาบอกให้ ”ช่วยแก้แค้นให้หน่อย” ช่วงหนึ่งนางบุญทา เดินไปเคาะโลงของหลานชาย พร้อมกับรูปที่กรอบรูปตั้งหน้าศพ ด้วยอาการร้องไห้เสียใจ บอกกับหลานชายว่า “สิ่งที่หลานชายมาเข้าฝันให้ช่วยแก้แค้น อยากให้หลานชายสบายใจและไปสู่สุคติ เพราะเนื่องจากมีสื่อและพวกพี่มาช่วยแล้ว ที่สำคัญอยากให้หลานชายหลับให้สบาย กลับไปอยู่กับพ่อแม่บนสวรรค์ จะได้ไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไม่มีพ่อแม่อีก พ่อแม่รออยู่บนสวรรค์แล้ว ขอให้หลานไปสู่สุคตินะ”
นางบุญทา เผยอีกว่า ตนเองเลี้ยงนายโดมหรือนายไตรภพคนก่อเหตุมาตั้งแต่เด็ก เพราะเป็นเด็กในชุมชนด้วยกัน แล้วมาอยู่กินกับน้องฟลุ๊ค หลานชายของตนเอง ก็เลี้ยงข้าวหม้อเดียวกัน แกงชามเดียวกัน น้ำพริกถ้วยเดียวกัน ตั้งแต่เล็กจนกระทั่งโต น้องฟลุ๊คหลานชาย ก็นับถือเสมือนเป็นพี่ชายคน และแม้ว่าครอบครัวของตนเองจะไม่ใช่ครอบครัวที่มีฐานะ อดมื้อกินมื้อ หรือแม้แต่แบ่งน้ำพริกกันกิน แต่ก็ยังให้นายโดมคนก่อเหตุมาร่วมกินข้าวกับครอบครัวเป็นประจำ แต่ก็ไม่คิดว่ากับข้าวที่นั่งล้อมวงกินด้วยกันทุกวันนั้น จะกลายเป็นก่อเหตุแบบนี้กับหลานชายของตนเอง
และสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ตนเองก็นั่งอยู่ในบ้าน ซึ่งก็ไม่คิดว่านายโดมจะบุกเข้ามาก่อเหตุและทำร้ายหลานชาย โดยที่ไม่ยอมเกรงต่อตนเองรวมถึงญาติคนอื่น ส่วนตัวก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะบุกมาทำกันแบบนี้ และตอนที่นายโดมกำลังทำร้ายร่างกายน้องฟลุ๊ค ตนเองก็ด้วยแรงของผู้หญิงเพียงคนเดียวไม่สามารถเข้าไปห้ามเหตุใด เข้าไปอีกทีก็ปรากฏว่าตัวของนายโดมมีการบีบคอ และใช้สายไฟทุบตีศีรษะของหลานชายจนกระทั่งได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว
แต่สิ่งที่ตนเองคาใจมากที่สุด หลังจากที่ทำร้ายหลานชายแล้ว รับโทษตามกระบวนการ แต่ในเมื่อมีการประกันตัวออกมา ทำไมต้องมีการโพสต์เฟซบุ๊กท้าทาย ไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย และที่สำคัญตนเองก็สงสัยว่าทำไมตำรวจถึงรีบปล่อยตัวเร็วจัง ทำไมไม่ให้รับเวรกรรมตามกฏหมายก่อน และการโพสต์แต่ละอย่างนั้นก็เป็นการส่อเสียดรวมถึงไม่สำนึกผิด แล้วยังมีการโพสต์สร้างกระแสว่าจะออกมาลอยกระทงกับกลุ่มเพื่อน โดยข้อความดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่สะเทือนใจต่อคนในครอบครัว เพราะศพของหลานก็ยังตั้งอยู่ในศาลา
Advertisement