ผัวหึงเลือดขึ้นหน้าฆ่าหนุ่มด้วยรางข้าวหมู เมียใจจะขาดจูบลาส่งคุกรอวันคืนดี (คลิป)

เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 6 พ.ย. 65 ร.ต.อ.อนันท์ ศรีเสน รอง สว. (สอบสวน) สภ.นางรอง รับแจ้งเหตุคนถูกทำร้าย มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านชุมแสง ต.ทุ่งแสงทอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ จึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อม แพทย์เวร รพ.นางรอง หน่วยกู้ภัยตำรวจทางหลวงบุรีรัมย์ กู้ภัยสยาม และกู้ชีพเทศบาลตำบลทุ่งแสงทอง

ที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อคือ นายนนทกานต์ ศิริโภคา อายุ 25 ปี ตรวจสอบสภาพศพพบถูกของแข็งทุบที่ศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์ คาดว่าน่าจะถูกรางปูนสำหรับใส่อาหารหมูทุบ เนื่องจากพบรางปูนฯ เปื้อนเลือดในที่เกิดเหตุ อีกทั้งบริเวณฝ่าเท้าผู้ตายยังพบรอยคล้ายถูกมีดฟัน และยังพบเสื้อผ้าถูกเผาใกล้จุดเกิดเหตุด้วย ซึ่งคาดว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเอาเสื้อผ้าผู้ตายมาเผาทิ้ง นอกจากนี้ยังพบผู้บาดเจ็บอีก 1 ราย ทราบชื่อคือ น.ส.บุพผา โตบังเทียน อายุ 41 ปี สภาพสลบ เนื่องจากถูกตบ เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ นำตัวส่ง รพ.นางรอง

จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสายชล ศรีกระสัง อายุ 44 ปี ซึ่งเป็นสามีใหม่ของผู้บาดเจ็บ ก่อนเกิดเหตุผู้บาดเจ็บนั่งคุยเล่นอยู่กับผู้ตาย พอผู้ก่อเหตุมาเห็นก็เกิดมีปากเสียงทะเลาะกันขึ้น จากนั้นนายสายชลก็ยกรางปูนใส่อาหารหมูทุบหัวนายนนทการ จนเสียชีวิต แล้วนำเสื้อผ้าไปจุดไฟเผา จากนั้นก็ตบหน้าและจับนางบุพผา ทุ่มกับพื้นจนสลบและวิ่งหนีไปจากที่เกิดเหตุ

ล่าสุดวันที่ 7 พ.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้เดินทางไปยัง สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เนื่องจากมีรายงานว่าตำรวจสามารถจับกุมตัว นายสายชล ผู้ก่อเหตุได้ที่บ้านพักในเวลาประมาณเที่ยงคืน

จากการสอบสวน นายสายชล ให้การกับตำรวจว่า ตอนเกิดเหตุตนเอง เดินไปเห็นภรรยานั่งเสพยาอยู่กับผู้ตายในห้องน้ำ โดยตอนนั้นเห็นผู้ตายนั่งถอดเสื้ออยู่ กระทั่งตนเองเดินเข้าไปตบตีภรรยาจนสลบ จากนั้นผู้ตายได้เดินไปหยิบมีดมาฟันตนเองที่หน้าจนได้รับบาดเจ็บที่ปาก จึงเกิดอาการบันดาลโทสะแย่งมีดผู้ตายแล้วก็ฟันผู้ตายจนล้มลงไปนอนที่พื้น

หลังจากนั้นในขณะที่ผู้ตายพยายามคลานออกไปหน้าเล้าหมู ด้วยความโมโหระแวงว่าผู้ตายจะเล่นชู้กับภรรยา จึงยกรางให้อาหารหมูที่มีลักษณะเป็นปูน ทุ่มใส่ที่ร่างผู้ตายและทุบหัวซ้ำจนผู้ตายแน่นิ่งไป จากนั้นด้วยความแค้น หันไปเห็นเสื้อของผู้ตายที่ถอดอยู่ข้างตัวภรรยา จึงนำไปเผาก่อนจะวิ่งไป ขโมยรถจักรยานของชาวบ้านปั่นหลบหนีไปสงบสติอารมณ์ กระทั่งประมาณ 5 ทุ่มกว่า ๆ ไม่รู้จะหนีไปไหนจึงปั่นจักรยานเข้าบ้านและถูกตำรวจจับกุมตัวได้ในที่สุด

ขณะเดียวกันเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทางตำรวจได้นำตัวนายสายชล ออกจากโรงพักไปทำแผลที่โรงพยาบาลนางรอง เนื่องจากนายสายชล มีบาดแผลถูกผู้ตายฟันที่ปากต้องนำตัวไปเย็บแผลก่อนจะนำตัวไปฝากขัง ซึ่งวันนี้ทางนายสายชลขอใช้สิทธิไม่ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ

จากนั้นประมาณ 10.30 น. ในขณะที่ตำรวจนำตัวนายสายชล กลับมาที่โรงพักเพื่อเซ็นเอกสารและพิมพ์ลายน้ำมือ ทีมข่าวได้มีโอกาสสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ต้องหา โดยนายสายชล เปิดใจกับอมรินทร์ทีวีว่า ตนเองคบหากับภรรยามาประมาณ 2 ปี แต่ไม่มีลูกด้วยกัน ที่ผ่านมาประมาณ 5 เดือนยอมรับว่า ตนเองระแวงภรรยากับผู้ตายมาตลอด ซึ่งก่อนเกิดเหตุตนเองเคยมีเรื่องกับผู้ตายมาแล้ว 1 ครั้ง เนื่องจากถูกผู้ตายถือมีดท้าให้ออกมาแทงกันหน้าบ้าน ถามว่าทำไมตนเองถึงต้องมีปัญหากับผู้ตายจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะว่าผู้ตายปฏิเสธตลอดว่าไม่ได้เล่นชู้กับภรรยา

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ก่อนตนเองจะฆ่าผู้ตาย ตนเองได้เดินไปตามหาภรรยาในหมู่บ้าน กระทั่งประมาณ 6 โมงเย็น เดินไปเห็นภรรยากับผู้ตายกำลังนั่งเสพยากันอยู่ที่ในห้องน้ำศาลากลางบ้าน ตนเองจึงเข้าไปต่อว่าและทวงเงินค่าข้าวจากภรรยา แต่ภรรยากลับโวยวายขึ้นมา ด้วยความโมโห จึงตบต่อยและแตะเข้าไปที่หน้าผากภรรยาจนสลบไปนอนที่พื้น

จากนั้นผู้ตายจึงเดินไปหยิบมีดดาบ มาฟันเข้าที่ปากตนเอง จนตนเองทนไม่ไหว แย่งมีดดาบของผู้ตายแล้วก็ฟันคืนไป 2 ครั้ง ด้วยความโมโห บวกกับฟิวส์ขาดจนสติแตก จึงเดินไปหยิบรางอาหารหมูทุ่มใส่ผู้ตายและทุบหัวซ้ำจนผู้ตายแน่นิ่งไป ส่วนเสื้อที่ตนเองเผา จริงๆแล้วไม่ใช่เสื้อของผู้ตาย แต่เป็นเสื้อเปื้อนเลือดของตนเอง

ยืนยันว่าทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ อยากจะขอโทษครอบครัวผู้ตายและครอบครัวภรรยา เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ต้องทำลงไปเป็นเพราะความโมโหที่มีมือที่สามเข้ามาพัวพัน อยากจะบอกว่าที่ผ่านมารักเมียคนนี้มาก เป็นไปได้ก็อยากจะเจอหน้าเมียอีกครั้งก่อนเข้าคุก หลังเกิดเหตุยืนยันไม่ได้ตั้งใจหลบหนีที่หายไปคือไปหาแม่ ไปสารภาพกับแม่ว่าฆ่าคนตายและกลับไปรอมอบตัวกับตำรวจที่บ้าน

หลังจากนั้นประมาณเวลา 10.50 น.ในขณะที่ตำรวจกำลังให้นายสายชล เซ็นเอกสารและพิมพ์ลายน้ำมือ น.ส.บุพผา ที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ก็ติดต่อมาทางร้อยเวรขอเจอหน้ากับนายสายชล ก่อนจะนำตัวไปฝากขังซึ่งบรรยากาศในช่วงนี้ เป็นไปด้วยความโศกเศร้าน้ำตาไหลท่วมจอ เนื่องจากทันทีที่ทั้งสองได้เจอหน้ากันก็เดินเข้าไปสวมกอดกันร้องไห้ ซึ่งนายสายชลพยายามขอโทษเมียและบอกว่าไม่ได้ตั้งใจก่อเหตุที่ผ่านมาพี่ไม่เคยทอดทิ้งน้องพี่รักน้องที่สุด และพยายามปลอบโยนให้เมียหยุดร้องไห้บอกว่าไม่นานหรอกเดี๋ยวพี่ก็ออกมา

ส่วนคนเป็นเมีย ก็บอกกับนักข่าวในขณะที่กอดผัวอยู่ว่า ให้อภัยผัวและจะอยู่รอจนผัวพ้นโทษออกจากคุก จากนั้นนักข่าวก็ถามกับนายสายชลว่า ถึงตอนนี้เชื่อหรือยังว่าเมียพี่รักพี่และไม่ได้เล่นชู้กับผู้ตาย แต่นายสายชลก็ตอบกลับมาว่าผมพยายามจะเชื่อ คนเป็นผัวยังไงก็มีสิทธิจะคิดว่าเมียนอกใจ เนื่องจากเห็นเมียไปอยู่กับคนอื่นในห้องน้ำ กระทั่งคนเป็นเมียก็อธิบายให้ผัวฟังอีกเป็นครั้งสุดท้ายว่า ที่ผ่านมาไม่เคยคิดนอกใจรักพี่คนเดียว จากนั้นทั้งสองก็เช็ดน้ำตาให้กัน และคนเป็นผัวก็หอมแก้มเมียก่อนจะแยกตัวเดินไปขึ้นรถตำรวจ

ซึ่งก่อนตำรวจจะนำตัวนายสายชลไปขึ้นรถ นายสายชลยังขอบคุณทุกคนที่ทำให้เจอกับเมียก่อนเข้าคุก หลังได้เจอหน้าเมียก็เข้าใจเมียมากขึ้นแล้ว เชื่อแล้วว่าเมียไม่ได้นอกใจจากนี้จะทำความดีในคุกเพื่อจะได้ออกมาอยู่กับเมียให้เร็วที่สุด โดยบรรยากาศในช่วงตำรวจคุมตัวนายสายชลไปขึ้นรถ ก็ยังเป็นไปด้วยความโศกเศร้า เนื่องจากคนเป็นเมียพยายามวิ่งไปกอดผัวและร้องไห้โฮเป็นลมล้มลงตรงบันไดหน้าโรงพักจนตำรวจที่อยู่ใกล้ต้องช่วยประคองตัวไม่ให้ล้มไปนอนกับพื้น

น.ส.บุพผา ผู้บาดเจ็บและเป็นภรรยาของผู้ก่อเหตุ ยืนยันกับทีมข่าวว่า ตนเองไม่ได้เป็นชู้กับผู้ตาย ซึ่งผู้ตายจริง ๆแล้วมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับตนเอง แต่ที่ผ่านมาสามีไม่เคยรู้คิดว่าผู้ตายเป็นเด็กในหมู่บ้านที่เข้ามาวุ่นวายกับตนเอง ยอมรับตั้งแต่ผู้ตายเทียวไปเทียวมาที่บ้านสามีก็หาเรื่องตบตีตลอด เห็นอะไรก็ผิดหูผิดตาก็ระแวงผู้ชายทุกคนไปหมดว่าจะมาเล่นชู้กับตนเอง

ซึ่งตอนเกิดเหตุ ที่สามีอ้างว่าเห็นตนเองนั่งสูบยากับผู้ตายอยู่ในห้องน้ำไม่เป็นความจริง แต่ที่จริงแล้วตนเองเดินไปปิดห้องน้ำ และบังเอิญสามีมาเห็นพอดี จึงเข้าใจผิดคิดว่าตนเองทำอะไรอยู่กับผู้ตายในห้องน้ำ จากนั้นตนเองก็พยายามอธิบายให้สามีฟัง แต่สามีไม่เชื่อทั้งตบทั้งต่อยอย่างไม่ยั้งและยังพยายามจะเอาน้ำมันราดใส่ กระทั่งผู้ตายเห็นว่า สามีกำลังจะจุดไฟแช็กจึงถือมีดวิ่งเข้ามาห้าม โดยการกระโดดฟันไปที่หน้าสามีจนสามีได้รับบาดเจ็บ และโมโหแย่งมีดผู้ตายและฟันคืนไปหลายครั้งผู้ตายจึงต้องวิ่งหนีตาย

ยอมรับว่าตอนนั้นตนเองตกใจมากทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งกอดขาสามีและพยายามห้ามไม่ให้สามีตามไปทำร้ายผู้ตายอีก แต่สามีไม่ยอมฟัง เตะเข้าที่หน้าผากตนเองจนสลบไปนอนกับพื้น ตนเองจึงไม่เห็นว่าสามีตามไปทุบหัวผู้ตายและจุดไฟเผาเสื้อผ้าตอนไหน ที่ต้องรีบออกมาจากโรงพยาบาล เนื่องจากอยากจะเจอหน้าสามีเป็นครั้งสุดท้าย ยืนยันจะอยู่รอสามีจนพ้นโทษออกมาจากคุก ทั้งนี้ก็อยากจะขอโทษครอบครัวผู้ตาย ที่ไม่สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ และความผิดทั้งหมดตนเองขอรับผิดคนเดียวที่เป็นต้นเรื่องทำให้มีคนตายในเหตุการณ์นี้

จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ ก็คือบ้านของ น.ส.บุพผา ซึ่งลักษณะจุดเกิดเหตุเป็นบ้านไม้ยกสูงและมีห้องน้ำอยู่ติดกับข้างบ้าน ส่วนจุดที่ผู้ตายเสียชีวิตเป็นบริเวณข้างคอกหมูของเพื่อนบ้าน ที่อยู่ติดถนนห่างออกมาจากตัวบ้านประมาณ 30 เมตร และยังมีคราบเลือดติดอยู่ที่พื้น โดยใกล้กันยังพบร่องรอยที่ผู้ก่อเหตุจุดไฟเผาเสื้อผ้าหลังก่อเหตุเป็นรอยไหม้อยู่ 3 จุดก่อนหลบหนี

โดยวันนี้ก่อนที่ตำรวจจะเข้ามาเก็บมีดของผู้ตายไปเป็นหลักฐานมีทาง นางวีระดา ศิริโภคา อายุ 47 ปี แม่ของผู้ตาย เข้ามาในที่เกิดเหตุ ซึ่งทันทีที่ น.ส.บุพผา ได้เจอหน้าแม่ของผู้ตาย ที่เป็นเครือญาติกันก็กอดขาร้องไห้ขอโทษและพยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่ผู้ตายฟัง ทำให้ทั้งคู่กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ต่างคนต่างร้องไห้ออกมา ซึ่ง น.ส.บุพผา ก็พยายามบอกกับสื่อต่อหน้าแม่ของผู้ตายว่า ที่ผ่านมาตนเองไม่เคยมีสัมพันธ์กันกับผู้ตายนอกจากคำว่าพี่น้อง