จากกรณีมีชาวบ้าน ในอำเภอพิปูน จ.นครศรีธรรมราข แจ้งทีมข่าวเข้ามาว่ามีชายฉกรรจ์ 2 คนเข้ามาทำร้ายร่างกายพระหรั่ง อดีตเจ้าอาวาส วัดสุวรรณคีรี หรือ วัดนางเอื้อย และยังชักปืนขู่ด้วย
โดยในสมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช ก็มีการโพสต์ข้อความถึงเรื่องนี้ด้วย ระบุว่า “ชักกปืนขู่พระ”ลูกขวานนักการเมืองชายชฉกรรจ์ 2 คน บุกชกปากพระหรังแหกเลือดพ่าน ก่อนชักปืนออกมาจากเอวขู่ให้กลัวเหตุ เกิดในวัดดัง อ.พิปูน ในขณะพระเตรียมงานทอดกฐิน พระรุดแจ้งความแล้วที่ สภ.พิปูน คาดขัดเรื่องผลประโยชน์ในวัดดัง
ล่าสุดทีมข่าวได้ติดต่อพระที่ถูกทำร้ายร่างกายได้ ชื่อว่าพระครูสุวรรณธีรัตน์ พระลูกวัดห้วยกลาง เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ตนได้ไปช่วยทางโรงเรียนวัดนางเอื้อยทำพิธีทอดผ้าป่า ขณะเตรียมของได้มีชายฉกรรณ์ 2 คน
คนหนึ่งที่ตนจำได้เลย นายเอกพล สุทธิ อายุประมาณ 41 ปี อีกคนหนึ่งไม่รู้จักชื่อสวมเสื้อสีดำ โดยในเอกพลเป็นคนลงมือชกต่อยอดีตเจ้าอาวาสถูกที่แขนซ้าย 1 ครั้งและถูกที่ปากตนเอง 1 ครั้ง หลังจากนั้นก็มีชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามาห้าม นายเอกพลและพวกได้ชักปืนขู่ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้กับพระอาจารย์ถือมีดพร้าได้ยกมีดพร้าขู่เช่นกัน ทั้งสองคนจึงขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี
หลังจากนั้นชาวบ้านและผู้อำนวยการโรงเรียนวัดนางเอื้อยได้พาตน ไปทำแผลและแจ้งความดำเนินคดีกับคนก่อเหตุ โดยพระครูสุวรรณธีรัตน์ยืนยัน ว่าคนที่ทำร้ายร่างกายตนคือนายเอกพลซึ่งตนจำได้แม่น และชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ก็เห็นเหตุการณ์และจำได้เช่นกันเพียงแต่ไม่ได้มีใครถ่ายภาพเอาไว้ แต่ก็มีชาวบ้านให้ความร่วมมือไปเป็นพยานให้ที่สถานีตำรวจ
ทีมข่าวสอบถามมูลเหตุ พระครูสุวรรณธีรัตน์เผยว่า เดิมตนเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดวัดนางเอื้อย และออกจากวัดมาตั้งแต่ปี 61 เพราะถูกข่มขู่จากผู้ใหญ่บ้านและพรรคพวกบอกจะเอาไม้ตีหน้า หลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านมาขอให้พระครูสุวรรณธีรัตน์ออกโฉนดรางวัดที่ดินของวัดเพื่อจัดสรรทึ่ให้ชาวบ้านสามารถเช่าพื้นที่อยู่ได้ แต่พระครูสุวรรณธีรัตน์ไม่ยินยอม บอกว่าต้องไปสอบถามกับทางสำนักพุทธศาสนาเอง
ผู้ใหญ่บ้านจึงโมโหแล้วบอกว่าน่าถูกไม้ตีหน้า เพราะพื้นที่ของวัดมีบ้านของชาวบ้านอยู่ 25 หลังคาเรือนที่อาศัยที่วัดอยู่และปลูกเป็นห้องแถวด้วย ในจำนวนนี้เป็นบ้านของผู้ใหญ่บ้านและญาติ ๆ ด้วย ต่อมาพ่อของผู้ใหญ่บ้านก็ได้มาเจรจากับตนอีกเพื่อที่จะขอให้ทำการรางวัดที่ดินของวัดและแบ่งพื้นที่เช่าที่ดินให้กับชาวบ้าน ตนจึงได้ปฏิเสธอีกครั้งและจึงถูกพ่อของผู้ใหญ่บ้านขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายเมื่อไรก็ได้ พระครูสุวรรณธีรัตน์จึงตัดสินใจออกจากวัดนางเอื้อย ไปจำพรรษาที่วัดอื่นใน จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.นครศรีธรรมราช
พอกลับมาช่วยงานบุญที่วัดเดิมจึงถูกทำร้ายร่างกาย จึงคิดว่าอาจมีความเป็นไปได้ว่าที่นายเอกพลมาทำร้ายร่างกายตนเป็นเพราะปมปัญหาเก่าที่ตนเคยมีปัญหากับผู้ใหญ่บ้าน เพราะนายเอกพลกับผู้ใหญ่บ้านสนิทกัน โดยนายเอกพลรับจ้างขับรถสิบล้อให้ผู้ใหญ่บ้าน
ทีมข่าวยังได้เดินทางไปยังบ้านของนายเอกพล สุทธิ อยู่ในหมู่ที่ 6 ต.กะพูน อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช ได้สอบถามญาติ ๆ นายเอกพล คือ นายพงศุวรรณ พิบูลย์ อาของนายเอกพล บอกกับทีมข่าวว่า เพิ่งทราบเรื่องพระครูหรั่งถูกต่อย โดยบอกว่าพระครูหรั่งเป็นพระนักพัฒนา หาเงินเข้าวัดช่วยโรงเรียนได้เยอะและทราบว่าพระครูมีปัญหากับผู้นำท้องถิ่นแต่ก็ไม่ทราบว่ามีปัญหาเรื่องอะไรแต่มีปัญหากันจนถึงขั้นพระครูหลั่งต้องออกจากวัด
ยอมรับว่าในพื้นที่ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็จะชอบพระครูหรั่ง อีกส่วนจะไม่ค่อยชอบเพราะพระครูหรั่งมักจะเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา พูดโผงผาง แต่ส่วนตัวชอบพระครูเพราะเป็นนักพัฒนาวัดและโรงเรียน ชาวบ้านก็ไปช่วยงานท่านตลอด ส่วนเรื่องเงินทองของวัดมั่นใจว่าพระครูหรั่งไม่ฉ่อโกงแน่นอน ส่วนเรื่องที่นายเอกพลไปก่อเหตุชกต่อยพระครูหรั่งจริงหรือไม่เรื่องนี้ตนไม่ทราบจริง ๆ แต่รู้ว่าเอกพลสนิทสนมกับผู้ใหญ่บ้านที่มีปัญหากับพระครูหรั่งเห็นไปมาหาสู่กันประจำ
ล่าสุดทีมทีมข่าวโทรศัพท์ไปสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่บ้านปรากฏว่า ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าทราบเรื่องแล้ว ส่วนที่พระครูอ้างว่าก่อเหตุก็ได้ไปแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว และชี้แจงว่าไม่ได้เป็นคนก่อเหตุโดยผู้ใหญ่บ้านยังบอกอีกว่า ส่วนตัวตนไม่ได้มีความขัดแย้งกับทางพระครูมี แต่ทางพระครูที่ไม่ค่อยชอบตน โกรธตน เพราะสมัยก่อนมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินวัด ปรากฏว่าพระครูไม่สามารถตอบคำถามเจ้าหน้าที่ได้ ตนก็ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ไปตามข้อเท็จจริง พระครูจึงโดนเพ่งเล็งเรื่องเงินบริจาคของวัด และก็ได้หลบหนีออกจากวัดไปแล้วก็โกรธตนที่ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตรงไปตรงมา
ส่วนนายเอกพล ยืนยันว่ารู้จักกันผิวเผินไม่ได้สนิทกันมาก คือเป็นคนในหมู่บ้านรู้จักกันทั่วไปและก็ทราบว่าจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่พระครูถูกต่อยนายเอกพลยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนลงมือทำ
Advertisement