นาทีเลือด! เพื่อนรักยิงกันเองถูกเป่าหูเมียปันใจ รัว 3 นัดที่หัว ลูกช็อกหามศพไปรพ. (คลิป)

จากกรณีวันที่ 23 ก.ย. 65 เวลาประมาณ 15.50 น. “นายเดชรณัย ยะน่าน” อายุ 43 ปี ถูก “นายวรศักดิ์ วิทุน” อายุ 40 ปี ยิงด้วยอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. จำนวน 3 นัด เข้าที่มือทั้ง 2 ข้าง ข้างละ 1 นัด และลำคอซ้ายอีก 1 นัด ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลแม่แตง เหตุเกิดที่ร้านค้าบ้านร่ำเปิง ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

หลังเกิดเหตุนายวรศักดิ์ พยายามหลบหนีด้วยการขับรถกระบะสีส้มของตัวเองที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านค้าออกไป แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับกุมตัวได้ที่ถนนกลางหมู่บ้าน บ.แม่ขะจาน ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

วันที่ 24 ก.ย. 65 ประมาณเวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัว นายวรศักดิ์ ฝากขังยังศาลใน 3 ข้อหา 1.ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 2.มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต 3.พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ และได้ตรวจสอบภาพวงจรปิดของหมู่บ้าน พบว่าในเวลา 14.13 น. ของวันที่ 24 ก.ย. 65 นายวรศักดิ์ ผู้ก่อเหตุ ขับระกระบะมายังหน้าร้านที่เกิดเหตุ แล้วเดินลงไปที่ร้านเพื่อร่วมดื่มเหล้ากับชาวบ้าน แต่ตอนนั้นยังไม่ผู้ตายอยู่ จากนั้นไม่นาน เวลา 14.17 น. ผู้ก่อเหตุก็ขับรถออกไป มุ่งหน้าไปยังเตาเผาถ่านของตัวเอง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 850 เมตร เพราะผู้ก่อเหตุทำอาชีพเผาถ่านขาย ต่อมาเวลา 15.27 น. นายเดชรณัย ผู้ตาย ขับรถจักรยานยนต์ไปหาเพื่อนแถว ๆ หน้าร้านที่เกิดเหตุเพื่อคุยเรื่องจะไปทอดแหกัน โดยไม่ได้เจอกับผู้ก่อเหตุเลยในตอนนั้น แล้วก็ขับกลับบ้านในเวลา 15.42 น.

จนกระทั่งเวลา 15.44 น. ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์มุ่งหน้าไปที่ร้านค้าที่เกิด เพื่อพูดคุยกับกลุ่มชาวบ้านเรื่องทอดแหและซื้อขายควาย ผ่านไปไม่กี่นาที เวลา 15.47 น. จะเห็น นายวรศักดิ์ ขับรถกระบะสีส้มมาจอดอยู่ที่บริเวณริมถนนฝั่งตรงข้ามร้านค้า แล้วลงจากรถฝั่งคนขับ เดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับแล้วเอื้อมหยิบปืนที่ใช้ก่อเหตุจากเบาะออกมา ท่ามกลางสถานการณ์ที่ชาวบ้านกำลังสัญจรไปมาตามปกติ เมื่อได้ปืนแล้ว นายวรศักดิ์ ก็เดินปรี่ไปยังร้านค้าเกิดเหตุที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วก็เริ่มมีปากเสียงกับผู้ตาย ซึ่งแม้ว่ากล้องวงจรปิดจะไม่สามารถบันทึกเสียงไว้ได้ แต่ถ้าสังเกตจากชาวบ้านที่เดินผ่านจะเห็นว่าทุกคนเริ่มหันไปมองที่ร้านด้วยอาการตกใจ

จากนั้นเวลา 15.49 น. จะสังเกตเห็นว่าชาวบ้านเริ่มตกใจและวิ่งหนีกันกระเจิง คาดว่านาทีนี้ นายวรศักดิ์ น่าจะก่อเหตุยิงไปที่ นายเดชรณัย แล้ว เพราะในเวลาต่อเนื่องกันจะเห็นว่า นายวรศักดิ์ กำลังจะหลบหนีด้วยการเดินออกมาที่ริมถนนเพื่อมุ่งหน้าไปที่รถกระบะ แต่ถูกชาวบ้านเข้ามัดตัวไว้ก่อนและพยายามยื้อแย่งปืนออกจากมือ จนสุดท้ายชาวบ้านสามารถแย่งปืนออกจากมือได้สำเร็จ ส่วนตัวนายวรศักดิ์ ก็สามารถขับรถกระบะออกไปจากจุดเกิดเหตุได้ในเวลา 15.50 น. เวลาไล่เลี่ยกัน 15.51 น. ลูกชายของผู้ตายทราบเรื่องจึงขับรถกระบะเข้าไปรับร่างของพ่อหรือผู้ตายส่งโรงพยาบาล ซึ่งในวงจรปิดจะเห็นว่าภรรยาของผู้ตายก็ตกใจมาก จึงรีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุด้วย

แต่ขณะเดียวกันหลัง นายวรศักดิ์ ขับรถออกไปได้แค่ประมาณ 450 เมตร ก็สวนทางกับรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังเข้าตรวจสอบเหตุหลังรับแจ้ง ด้วยความที่ผู้ก่อเหตุขับรถเร็วผิดปกติในเขตชุมชน เจ้าหน้าที่จึงเรียกตรวจสอบและประสานกับผู้แจ้งเพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลที่ก่อเหตุหรือไม่ เมื่อได้รับการยืนยันว่าเป็นคนเดียวกันก็ทำการจับกุมทันที

ขณะที่ทำการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้สอบถามนายวรศักดิ์ ว่าทำไปเพราะอะไร เจ้าตัวอ้างด้วยอาการเมาได้ที่ว่า นายเดชรณัยแอบไปเล่นชู้กับภรรยาของตนหลายครั้ง วันนี้ก็เลยยิงไป 3 นัด ส่วนปืนนั้นมีคนในที่เกิดเหตุแย่งไปแล้ว และยอมรับว่าเป็นคนก่อเหตุจริง พร้อมยืนยัน ชื่อ-สกุล ชื่อเล่นของตัวเองกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแบ่งกำลังไปตรวจสอบที่เกิดเหตุและค้นหาอาวุธปืนตามที่นายวรศักดิ์อ้างว่ามีคนแย่งไป ก็ทราบว่าชาวบ้านในที่เกิดเหตุซึ่งมีการแย่งปืนออกจากมือของนายวรศักดิ์ตามที่ปรากฎในวงจรปิด ได้นำปืนมาโยนทิ้งไว้ในตะกร้าถ้วยชามหลังร้านค้า พบเป็นอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก มีกระสุนอยู่ในลำปืน 1 นัด และในแมกกาซีนอีก 1 นัด เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานทางคดีต่อไป ขณะที่ร้านค้าเกิดเหตุล่าสุดก็มีการทำความสะอาดคราบเลือดไปหมดแล้ว 

ทีมข่าวได้คุยกับ นายทนงศักดิ์ วงปัน อายุ 30 ปี ลูกชายเจ้าของร้านซึ่งเป็นคนเหตุการณ์และคนแย่งปืน เจ้าตัวเล่าว่าก่อนเกิดเหตุ ตน พี่ชาย ลุง และผู้ก่อเหตุรวม 4 คน นั่งกันอยู่ที่หน้าร้านค้า ทุกคนดื่มเหล้ากันหมด คนละประมาณ 2-3 แก้ว ยกเว้นผู้ตายคนเดียวที่ไม่ได้ดื่ม ทั้งหมดพูดคุยกันเรื่องการซื้อขายควายและการทำแหหว่านปลา ไม่ได้มีเรื่องทะเลาะอะไรกันเลยด้วยซ้ำ แล้วผ่านไปสักพักผู้ก่อเหตุก็ลุกขึ้นขับรถกระบะกลับบ้านไป ก่อนจะขับกลับมาอีกรอบพร้อมปืน ซึ่งตอนนั้นกลายเป็นว่าในวงมีทั้งหมด 5 คน เพราะผู้ตายเพิ่งจะขับรถจักรยานยนต์มาได้ไม่นาน

เหตุการณ์เกิดขึ้นมาเร็วมาก จู่ ๆ ผู้ก่อเหตุก็สาดกระสุนเจาะจงไปที่ผู้ตายโดยตรง ในระยะประมาณ 2 เมตร ไม่มีการพูดจาอะไรสักคำ และจริง ๆ แล้ว ยิงทั้งหมด 4 นัด แต่นัดแรกยิงไม่ออก มาออกอีกทีคือนัด 2-3 ซึ่งโดนผู้ตายทั้งหมด

หลังจากยิงเสร็จตนกับลุงก็รีบเข้าไปแย่งปืนและพูดเกลี้ยกล่อมให้เขายอมมอบปืนให้ คุยอยู่ประมาณ 2-3 นาที เขาก็ยอมยื่นปืนให้แล้วก็ขับรถออกไปตามภาพวงจรปิด ตอนนั้นตนก็เอาปืนเข้าไปแอบในตะกร้าถ้วยชามหลังบ้าน เพราะกลัวว่าผู้ก่อเหตุจะวนกลับมาเอาปืนไปก่อเหตุที่ไหนอีก เหตุผลที่กล้าเข้าไปแย่งปืนเพราะเชื่อว่าตนกับผู้ก่อเหตุไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ผู้ก่อเหตุคงไม่ยิงตน

ส่วนปมในการก่อเหตุนั้น ส่วนตัวก็ยังนึกไม่ออกเพราะทั้งคู่ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกัน ไม่ได้กินเหล้าด้วยกันบ่อยด้วย นิสัยใจคอก็ถือว่าเป็นคนดี สนุกสนานทั้งคู่ แต่ผู้ก่อเหตุจะชอบดื่มเหล้า ดื่มทุกวันเช้ายันเย็น แล้วเรื่องชู้สาวนั้นตนมองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะทั้งคู่ก็มีภรรยากันหมด โดยเฉพาะผู้ตายก็มีภรรยาที่อยู่ด้วยกันถึง 2 คน บวกกับไม่เคยเห็นหรือได้ยินว่าทั้งคู่จะทะเลาะกันเรื่องนี้ด้วย น่าจะเกิดจากที่ผู้ก่อเหตุเมามากกว่า

ต่อมาทีมข่าวเดินทางไปยังบ้านของ นายวรศักดิ์ ผู้ก่อเหตุ และได้คุยกับ น.ส.ศิริลักษณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ภรรยาขอบนายวรศักดิ์ เจ้าตัวยืนยันว่าตนกับผู้ตายไม่เคยมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกันมาก่อนเลย เป็นแค่เพื่อนบ้านกันเท่านั้น แต่เชื่อว่าที่สามีให้การกับตำรวจเช่นนั้นเพราะน่าจะได้ยินจากชาวบ้านที่ชอบนินทา ยุแยงตะแคงรั่วมากกว่า ตนก็ไม่รู้ทำไม่สามีถึงเชื่อ เนื่องจากที่ผ่านมาสามีกับตนมักมีปัญหาเรื่องนี้กันประจำ พอสามีเมาแล้วมีใครพูดแซวว่าตนไปคุยกับคนนู้นคุยกับคนนี้นิดหน่อยสามีก็จะมาหาเรื่องทะเลาะกับตน หาว่าตนไปมีชายชู้ ทั้ง ๆ ที่ไม่จริง

ส่วนวันที่เกิดเหตุ ตอนที่สามีกลับมาบ้าน ตนกำลังเลี้ยงลูกน้อยอยู่ก็เลยไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ แต่สังเกตเห็นว่าพักหลังมานี้สามีเริ่มพูดน้อยลง นิ่งผิดปกติ และไม่รู้ด้วยว่าสามีไปเอาปืนมาจากไหน เขาไม่ได้บอกว่าจะออกไปไหนด้วย สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าทำใจไม่ได้ เครียด นอนไม่หลับ แต่คงไม่มีเงินไปยื่นประกันตัว เนื่องจากต้องเก็บไว้เลี้ยงลูก 2 คน หลานอีก 3 คน และนี่ถือว่าเป็นการสูญเสียเสาหลักของบ้านไป เพราะสามีทำงานรับจ้างทั่วไปและตัดไม้เผาถ่าน ได้เงินมาประมาณวันละ 400 บาท ส่วนตนอยู่บ้านเลี้ยงลูก

ที่ผ่านมาสามีเป็นคนนิสัยดี ไม่เคยมีปัญหากับชาวบ้านมาก่อนแต่ชอบดื่มเหล้าเป็นประจำ และตนก็อยากจะขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิตแทนในสิ่งที่สามีทำลงไปด้วย หากมีโอกาสก็จะเข้าไปกราบขอขมาศพ ส่วนกับสามีตนก็อยากจะบอกว่า “เดี๋ยวก็ออกมาแล้ว จะรอและเลี้ยงลูกอยู่ที่นี่”

ขณะที่ น.ส.ขวัญฤทัย มูลมอน อายุ 37 ปี ภรรยาของผู้เสียชีวิต เจ้าตัวยืนยันว่าก่อนที่สามีจะออกจากบ้านไปไม่ได้รับโทรศัพท์หรือคุยโทรศัพท์กับใครเลย เห็นว่าสามีเอาอุปกรณ์ทำแหไปให้เพื่อนในที่เกิดเหตุ บวกกับจะไปคุยเรื่องซื้อควายมาเลี้ยงเท่านั้น แล้วจู่ ๆ ก็มีชาวบ้านวิ่งมาบอกตนว่าสามีถูกยิง แต่ตนไม่ได้ยินเสียงปืนเพราะอยู่ในบ้าน จึงรีบวิ่งไปดูพบว่าสามีนอนซีดจมกองเลือดแน่นิ่งไปแล้ว และลูกชายก็ขับรถกระบะไปรับส่งที่โรงพยาบาล

เจ้าตัวยืนยันว่า สามีกับผู้ก่อเหตุเป็นมิตรกันดี เพราะผู้ก่อเหตุประกอบอาชีพเผาถ่านขาย สามีก็มักจะสั่งมาขายที่ร้าน 10-20 กระสอบ เป็นประจำ ไม่เคยมีเรื่องหนี้สินต่อกัน โดยเฉพาะเรื่องชู้สาวเท่าที่ตนรู้คือไม่มีเลยต่อให้ปัจจุบันสามีจะมีภรรยาถึง 2 คน นิสัยสามีคืแเป็นคนขี้เล่น ชอบแซว แต่ก็ไม่เคยไปยุ่มย่ามกับภรรยาของผู้ก่อเหตุเลย เพราะเขารักลูกมาก

ยอมรับว่าใจหายมาก อยากจะรู้ว่าแค้นอะไรกันหนักหนา แต่เท่าที่ตนสอบถามจากชาวบ้านส่วนใหญ่บอกว่าสาเหตุน่าจะมาจากผู้ก่อเหตุเมายา ดื่มเหล้าจนเมาแล้วคุ้มคลั่งหรือเปล่าหรือไม่ก็ยิงผิดคน หลังเกิดเหตุทางครอบครัวและญาติของผู้ก่อเหตุยังไม่ได้ติดต่อมาพูดคุยแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย ใจจริงก็อยากให้เข้ามาคุยกันบ้าง ตนยินดีที่จะให้เข้ามาขอขมาศพ ส่วนกับสามีตนก็อยากจะบอกว่า “หลับสบาย ไปสู่ภพภูมิที่ดี ไม่ต้องห่วงทางนี้ จะดูแลลูกให้ดีที่สุด ที่ผ่านมาเป็นลูกที่ดีและเป็นสามีที่ดีมาตลอด ไม่เคยนอกลู่นอกทาง”

ต่อมาเวลา 18.00 น. ครอบครัวก็ได้นำร่างของผู้ตายมายังวัดบ้านร่ำเปิง เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เหล่าบรรดาลูกของผู้ตายได้นำรองเท้าสวมให้พ่อและเอาน้ำหอมที่พ่อชอบฉีดให้ก่อนจะนำร่างบรรจุลงโลง หลังจากนั้น นายกฤษณพงค์ ยะน่าน อายุ 23 ปี ลูกชายที่ขับรถกระบะไปรับพ่อนำส่งโรงพยาบาลหลังเกิดเหตุ ก็ได้จุดธูปบอกดวงวิญญาณของพ่อเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ขอให้พ่อไปดีนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงลูก ไม่ต้องเป็นห่วงใคร ลูกจะทำให้ถูกต้องทุกอย่าง ไปสู่ภพภูมิที่ดี”

นายกฤษณพงค์ ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวว่า ถึงแม้พ่อจะเป็นคนเจ้าชู้แต่ยืนยันว่าดูจากสภาพภรรยาของผู้ก่อเหตุแล้ว พ่อคงไม่เข้าไปยุ่มย่ามในเชิงชู้สาว และพ่อไม่เคยพูดถึงผู้หญิงคนนี้ให้ได้ยินด้วย เพราะพ่อไม่ได้ยุ่งกับคนมีเจ้าของอยู่แล้ว

ที่สำคัญคือพ่อกับผู้ก่อเหตุพูดจาดีต่อกันตลอด สั่งซื้อถ่านกันประจำ ไม่เคยมีปัญหากันเลยสักครั้ง แล้วภายในหมู่บ้านทุกคนก็รักพ่อ เพราะพ่อเฟรนลี่ มีแต่คนรู้จัก ไม่เคยพูดแขวะใครให้เสียหาย แต่จะชอบพูดแซวเล่น ๆ ระหว่างลูกค้ามากกว่า เนื่องจากที่บ้านเปิดร้านขายของชำ แต่ภรรยาของผู้ก่อเหตุก็ไม่ได้มาซื้อของที่ร้านนานแล้ว ส่วนใหญ่เขาจะไปซื้อที่ร้านนอกหมู่บ้านเพราะบ้านญาติเขาอยู่ที่นั่น และพ่อตนส่วนใหญ่ก็ออกไปหาปลามากกว่าอยู่บ้านด้วยซ้ำ

ลูกชายยอมรับว่า แค้นใจกับผู้ก่อเหตุมาก แล้วยิ่งหลังเกิดเหตุยังไม่มีใครมาขอโทษหรือแสดงความรับผิดชอบใด ๆ ก็ยิ่งไม่พอใจ แต่ยืนยันว่าจะไม่ทำร้ายฝั่งก่อเหตุแน่นอน เพราะเชื่อว่าพ่อคงไม่อยากเห็นภาพนั้น ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ตนก็พร้อมจะอโหสิกรรมให้ ขอแค่เข้ามากราบขอขมาพ่อสักครั้ง