วันที่ 23 ก.ย. 65 จากกรณี น้องเอิร์ท นักเรียนชายวัย 15 ปี บุกข่มขืนน้องแก้ว (นามสมมติ) นักเรียนหญิงวัย 17 ปี ต่อหน้าเพื่อนอีกเกือบ 30 คน ภายในหอพักหญิงที่ใช้สำหรับกักตัวโควิด-19 ของโรงเรียนประจำใน จ.เพชรบูรณ์ เมื่อคืนวันที่ 24 ส.ค. 65 หลังจากผู้ปกครองทราบเรื่อง และพยายามให้ทางโรงเรียนแสดงความรับผิดชอบ ถูกทางโรงเรียนร้องขอไกล่เกลี่ยให้ยอมความ พร้อมให้นักเรียนชายผู้ก่อเหตุ และพวกรวม 5 คน พ้นสภาพการเป็นนักเรียนทันที ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
แต่ทางผู้ปกครองของน้องแก้วไม่ยอม จึงได้ร้องเรียนไปยังมูลนิธิปวีณาฯ และกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งเดินทางเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีไว้ที่ สภ.เมืองเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 65
ล่าสุด วันที่ 23 ก.ย. 65 ระยะเวลาผ่านไปเกือบ 1 เดือน หลังเกิดเหตุขึ้น ครอบครัวผู้เสียหายยังไม่ได้รับคำชี้แจง และการแสดงความรับผิดชอบใด ๆ จากโรงเรียน เช่นเดียวกับเมื่อทีมข่าวพยายามติดต่อไปยังผู้อำนวยการของโรงเรียน ไม่รับโทรศัพท์ และคณะครูผู้บริหารอีก 3 คนก็ปิดปากเงียบ เมื่อทีมข่าวถามถึงกรณีที่เกิดขึ้น มีเพียงแค่การเคลื่อนไหวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ที่ให้ข้อมูลว่าตอนนี้อยู่ระหว่างรอผลตรวจร่างกายของน้องแก้ว จะมีการนัดให้ทีมสหวิชาชีพ เข้าสอบปากคำน้องในวันที่ 27 ก.ย. 65
เบื้องต้น ทีมข่าวได้รับรายงานว่า น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ได้สั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยไล่สอบตั้งแต่ผู้อำนวยการโรงเรียน ครูเวรประจำวัน ครูประจำหอพักนอน พร้อมทั้งได้สั่งให้ย้ายผู้อำนวยการโรงเรียนไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่เขตพื้นที่ เพื่อให้การสอบสวนมีความเป็นธรรม รวมทั้งได้สั่งการไปยังโรงเรียนที่อยู่ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่เป็นโรงเรียนประจำลักษณะพักนอนว่าจะต้องมีกฎระเบียบการจัดครูเวร ดูแลนักเรียนหญิงและชายให้มีความปลอดภัย จะต้องไม่มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด
ส่วนมุมของผู้เสียหาย ทางศึกษาธิการก็ได้ส่งนักจิตวิทยาเข้าไปดูแลสภาพจิตใจของเด็กแล้ว ยืนยันว่าจะไม่ทิ้งเด็กอย่างแน่นอน เด็กจะต้องได้รับการศึกษาต่อ และจะต้องได้รับความเป็นธรรมด้วย
ทีมข่าวเดินทางไปสอบถามกับครูที่โรงเรียน ยืนยันว่าทางผู้อำนวยการได้ถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่เขตพื้นที่จริง มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนรายละเอียดทั้งหมดนั้น ส่วนตัวไม่สามารถให้สัมภาษณ์ได้ ต้องรอให้ทางคณะผู้บริหารออกมาชี้แจง แต่ไม่รู้ว่าจะมีการชี้แจงหรือไม่ เพราะตอนนี้ก็อยู่ระหว่างประชุมหาทางแก้ไขเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน
นางสาวพิรมล (นามสมมติ) อายุ 32 ปี แม่ของฝ่ายชาย เปิดใจว่า ปกติแล้วลูกชายเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยเปิดใจกับแม่ แต่เวลาพูดคุยเล่นเขาเป็นคนอัธยาศัยดี ลูกไม่เคยมาปรึกษาเรื่องเพศ ตอนที่เคยมีแฟนหรือชอบใคร เขาจะมาบอกแม่ตลอด ตอนเกิดเหตุโรงเรียนเรียกให้ไปพบแล้วเล่าพฤติกรรมของลูกให้ฟัง ซึ่งตอนนั้นก็ตกใจมาก อยากพูดคุยกับญาติของฝ่ายหญิง แต่ทางโรงเรียนไม่เปิดโอกาส จากนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าฝ่ายหญิงไม่มีใครเอาเรื่อง และไม่มีใครต้องจ่ายค่าเสียหาย ตอนนั้นตนก็ยังคุยกับผู้ปกครองของฝ่ายชายด้วยกันว่าไม่มีใครต้องจ่ายเงิน ครูบอกแค่ว่าทุกอย่างเคลียร์จบแล้ว และให้ลูกพ้นสภาพใ ห้เก็บของออกจากโรงเรียน
จากการสอบถามลูกชาย ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ซึ่งเขาแมนพอที่จะพูดความจริงและไม่โกหก เชื่อได้ว่ามันคือเรื่องจริง มันเป็นเรื่องของเด็กที่ผิดพลาด แล้วคือเป็นการสมยอมกันทั้งคู่ โรงเรียนควรจะเป็นคนกลางให้ทั้ง 2 ฝ่ายพูดคุยหาแนวทางการแก้ไข ไม่ใช่ปัดความรับผิดชอบแบบนี้ แล้วครูที่เฝ้าตึกทำไมไม่ทราบเรื่อง การล็อกประตูเข้าออกของหอพักไม่มีความรัดกุมเลยหรือไม่
ตอนนี้เครียดมากยอมรับว่าลูกชายตนผิด เพราะแค่ว่าลูกชายตนเป็นผู้ชาย อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงยังไงก็ถูก และตนต้องทำงานคนเดียวเลี้ยงลูก 2 คนไม่ไหว เลยตัดสินใจให้ไปเรียนโรงเรียนประจำ เพราะสภาพแวดล้อมที่บ้านไม่น่าเรียน ก็กลัวว่าลูกจะเถลไถล หรือไปเกี่ยวกับยาเสพติดง่าย อีกอย่างทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลลูก จึงคิดว่าโรงเรียนประน่าจะเป็นการตัดเรื่องไม่ดีออกจากลูกชายได้ ตนเลยไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้
ส่วนตัวอยากพูดคุยกับทางญาติฝ่ายหญิง อยากให้มาเจรจากันเพื่อหาแนวทางการแก้ไข ที่ไม่ใช่การฟ้องร้องค่าเสียหายหรือเอาชนะกัน เพราะอยากให้คำนึงถึงอนาคตของลูก ตอนนี้ลูกชายของตนก็ไม่มีที่เรียน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินจากที่ไหนให้เขาเรียน ตนเข้าใจฝ่ายหญิง เพราะตนก็มีลูกสาวเหมือนกัน แต่ตนก็เข้าใจลูกชาย วัยอยากรู้อยากลอง ซึ่งถ้าจะมาเรียกเงินกันเป็นแสน ตนคงไม่มีให้ ลำพังทำงานได้เงินรายวัน 300 บาท ซึ่งไม่ได้ทุกวัน และสุดท้ายก็คงจบที่ลูกติดคุกถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงอยากให้สังคมเห็นใจ และวอนตำรวจให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่ายด้วย
นายเอิร์ธ อายุ 15 ปี เปิดใจผ่านแม่ว่า ตนอยู่โรงเรียนประจำในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ มีการแบ่งแยกที่พักชัดเจน และงดใช้โทรศัพท์มือถือ นายเต อายุ 15 ปี เป็นเพื่อนที่อยู่หอพักเดียวกัน และมีแฟนสาวอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน วันที่ 23 ส.ค.65 ที่ผ่านมา นายเตไปหาแฟนสาวที่โรงนอนของฝ่ายหญิง ซึ่งชวนให้ตนไปเป็นเพื่อน แต่ตนไม่ไป จากนั้น 24 ส.ค.65 นายเตมาบอกกับตนว่าคืนนี้ไปหอพักหญิงด้วยกันหรือไม่ มีสาวนัดมาอยากให้ตนไปชื่อว่านางสาวแก้ว (นามสมมติ) ตนก็พอรู้จักหน้าตา เพราะเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ยืนยันได้ว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีสัมพันธ์อื่นใด ไม่เคยคุยกันมาก่อน
ตนยอมรับว่า ด้วยความอยากรู้อยากลองจึงตัดสินใจตอบตกลง นายเตเดินผ่านตึกหอพักฝ่ายหญิงเป็นโซนกักตัว แฟนของนายเตชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว แล้วชูนิ้วสัญลักษณ์โอเค ความหมายคือให้มาเจอกัน 3 ทุ่ม ตอนที่ไปก็มีเพื่อนผู้ชายไปด้วยกัน รวมตนแล้ว 6 คน โดยลักษณะอาคารเป็นตึกยาว 2 ชั้น ซึ่งคุณครูอยู่ชั้นล่างและฝ่ายหญิงส่งตัวแทนมารับขึ้นบันไดไปชั้น 2 ของอาคาร ห้องแรกจะเป็นห้องเรียน ส่วนห้องตรงกลางจะเป็นห้องโถงสำหรับวิชาปฏิบัติ แต่ถูกเปลี่ยนให้เป็นห้องนอน ห้องสุดท้ายจะเป็นห้องนอนหลักของคนที่กักตัว
โดยเพื่อนผู้ชาย 1 คน ไปยืนดูต้นทาง ส่วนอีก 5 คน ก็มีผู้หญิงครบทุกคู่ ต่างคนต่างไปเข้ามุมของห้อง ซึ่งบรรยากาศในห้องค่อนข้างมืด และไม่ได้มีคนเยอะขนาดนั้น พอตนไปถึงก็เข้าไปนั่งข้าง ๆ นางสาวแก้วที่เตียง ซึ่งเป็นเตียงฟูกปูพื้นธรรมดา และก็นอนด้วยกัน สักพักตนก็เป็นคนเริ่มก่อน มีการเล้าโลมและสอดใส่เข้าไปโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย นางสาวแก้วก็ไม่ได้ขัดขืน ไม่ร้องให้คนช่วย ก็มีอะไรกันจนเสร็จ แล้วก็นอนกอดกันสักพัก ก่อนที่จะกลับไปที่หอนอนชายพร้อมกับเพื่อน ยอมรับว่าเป็นคนเริ่มก่อนก็จริง แต่ยืนยันได้ว่าเป็นการสมยอมกันทั้งคู่
หลังจากเกิดเหตุโรงเรียนก็ให้ตนออกจากโรงเรียน บอกว่าเคลียร์จบแล้ว พอข่าวมาออกว่าตนไปข่มขืนก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด ยอมรับตอนนี้เครียดมาก ตนสงสารแม่ เพราะตนเหลือแม่แค่คนเดียว ที่ทำส่งเงินเลี้ยงตนกับน้องสาว อยากให้สังคมเห็นใจ ให้ความยุติธรรมกับตนด้วย ตอนนี้อยากเรียนหนังสือให้จบ เพื่อที่จะกลับมาช่วยแม่ทำงาน
สอบถามชาวบ้านในละแวกโรงเรียน ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อประมาณต้นปี 2565 มีเหตุการณ์ลักษณะคล้ายกันเกิดขึ้นภายในเรือนนอนของนักเรียนชายมาแล้ว ตอนนั้นมีนักเรียนชายรายหนึ่งเรียนอยู่ชั้น ป.6 ทราบชื่อ น้องต้นไม้ (นามสมมติ) เป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีมาโดยตลอด กลับโดนกลุ่มนักเรียนชาย 3 คนก่อเหตุข่มขืนทางทวารหนักหลายครั้ง ภายในระยะเวลา 2 เดือนที่น้องต้นไม้ ต้องกินนอนอยู่ภายในโรงเรียน ช่วงสถานการณ์โควิด-19
จนกระทั่งมีช่วงหนึ่งที่โรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนกลับบ้านได้ มีเพื่อนของน้องต้นไม้บอกกับผู้ปกครองของน้องว่าน้องถูกกระทำในลักษณะดังกล่าว น้องก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ที่ผ่านมาน้องไม่กล้าบอกใคร เพราะกลุ่มผู้ก่อเหตุขู่ไว้ว่าหากบอกจะเอาช้อนส้อมปาดคอ หลังจากนั้นผู้ปกครองก็พาน้องต้นไม้ไปพบหมอที่คลินิก เนื่องจากน้องมีอาการถ่ายไม่ออก ปวดท้อง กินข้าวไม่ค่อยได้ ร่างกายและจิตใจบอบบางกว่าเก่า พูดอะไรเสียงดังหรือรุนแรงไม่ได้จะเกิดความเครียด แล้วสายตาเริ่มพร่ามัว
หมอก็เห็นว่าอาการทั้งหมดมันผิดปกติ จึงแนะนำให้ไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยาบาล แต่ระหว่างนั้นทางครูภายในโรงเรียนทราบเรื่องก่อน มีการนัดพูดคุยกับผู้ปกครอง และสั่งห้ามไม่ให้แจ้งความ เพื่อแลกกับการจะให้น้องต้นไม้เรียนที่โรงเรียนต่อ พร้อมกับจะจ่ายเงินเยียวยาให้จำนวนหนึ่ง
ตอนนั้นด้วยความที่ครอบครัวของน้องค่อนข้างยากจน ไม่มีทุนมากพอที่จะส่งน้องไปเรียนที่อื่น จึงต้องจำใจยอมปิดปากเงียบ เพื่อให้น้องได้เรียนต่อ ซึ่งไม่มีค่าเทอม แต่หนักกว่านั้นคือทางครูได้ชวนผู้ปกครองของน้องต้นไปสาบานต่อหน้าศาลหลักเมืองว่าจะไม่เอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปแจ้งความหรือเล่าให้ต่อ
ทีมข่าวสอบถามไปยังครอบครัวของน้องต้นไม้ ผู้เสียหาย ระบุว่า ที่ผ่านมาโดนสั่งจากผู้หลักผู้ใหญ่ของจังหวัด รวมถึงบุคคลของสำนักแห่งหนี่งที่ใหญ่มากสั่งห้ามพูด จึงไม่กล้าให้สัมภาษณ์ เพราะตอนนี้หลานยังเรียนอยู่ในโรงเรียนด้วย
นายนิรวิทธิ์ กางถิ่น ผู้ใหญ่บ้านใกล้โรงเรียน ยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง เพราะตอนนั้นตนได้รับการประสานจากโรงเรียนเพื่อขอใช้พื้นที่ที่ทำการผู้ใหญ่บ้านเป็นพื้นที่เจรจาระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครองของน้องต้นไม้ ตอนนั้นที่มีการสอบถามจากครู ทราบว่าน้องต้นไม้เล่าให้ครูฟังว่าเหตุเกิดจากการหยอกล้อกันระหว่างเพื่อน ซึ่งเกิดขึ้นในเรือนนอนช่วงกลางคืน ระหว่างที่ครูกำลังตรวจตราภายนอก จึงไม่ได้ดูแลด้านในอย่างทั่วถึง
แต่ครั้งนั้นผู้ปกครองของน้องไม่พอใจมาก ครูก็แสดงความรับผิดชอบด้วยการสั่งให้นักเรียนชายผู้ก่อเหตุ 3 คนพ้นสภาพการเป็นนักเรียนไป และมีการร่างข้อตกลงขึ้นว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก พร้อมกับมอบเงินเยียวยาให้ผู้ปกครองเป็นจำนวนหลักพันบาท แลกกับการไม่ให้ผู้ปกครองนำเรื่องราวทั้งหมดไปพูดต่อ
ส่วนเรื่องที่ว่ามีการไปสาบานต่อหน้าศาลหลักเมืองนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะทางโรงเรียนอยากให้เรื่องจบแค่ตรงนั้น หวั่นจะทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสียง หลังจากชีวิตของเด็กคนหนึ่งเสียหายไปแล้ว ซึ่งถ้าหากเรื่องถูกเปิดเผยแล้วผู้ปกครองของน้องก็ตกลงในทุกเงื่อนไข จึงไม่ได้มีการตรวจร่างกายน้องหรือแจ้งความเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้เหมือนกัน เพราะโรงเรียนที่เกิดเหตุถือเป็นโรงเรียนประจำประเภทกินนอนโรงเรียนเดียวของจังหวัด ที่ผ่านมาหากไม่นับเหตุการณ์ครั้งของน้องต้นไม้ และของน้องแก้ว ภาพรวมก็ถือว่าดี ผู้อำนวยการก็อยู่ในระเบียบหน้าที่ไม่เคยเห็นว่าจะมีการแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม และครูอีกประมาณ 30-40 คนก็ผลัดกันดูแล รับผิดชอบนักเรียนจำนวนประมาณ 800 กว่าคนเป็นอย่างดี ทั้งประเภทกินนอน และประเภทไป-กลับ
เท่าที่ตนเคยเข้าไปร่วมกิจกรรมภายในโรงเรียน ก็เห็นว่าแต่ละเรือนนอนจะมีครูเวรคอยเฝ้าประจำตลอด มีการแยกชาย-หญิงชัดเจน ไม่มีการเอามานอนรวมกัน แต่อาจจะมีบ้างที่เกิดเหตุนักเรียนทะเลาะกัน เป็นเรื่องปกติ ส่วนเรื่องของน้องแก้วนั้น ตนเพิ่งทราบผ่านสื่อเมื่อเช้าของวันนี้ ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยข้อเท็จจริงกับใคร หากเป็นเรื่องจริงตนก็อยากให้มีการช่วยกันสอดส่องมากขึ้น เพราะปัจจุบันสื่อโซเชียลมันไปไกลมากแล้ว
นางสาวแพร (นามสมมติ) ศิษย์เก่าของโรงเรียนที่เกิดเหตุ สำเร็จการศึกษาชั้น ม.6 ตั้งแต่ปี 2545 ปัจจุบันอายุ 38 ปี ยอมรับว่าสมัยเรียนก็เป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่เด็กตั้งใจเรียน และเป็นนักเรียนประจำ กินนอนอยู่ที่โรงเรียนเหมือนกับน้องแก้ว ผู้เสียหาย สมัยที่ตนเรียนเด็กส่วนใหญ่ไม่ได้ถึงกับดื้อมาก แต่ก็จะมีเรื่องของการคบหาชายหญิงในลักษณะหนุ่มสาว แล้วก็พากันไปพลอดรักเป็นคู่ ๆ หรือไม่ก็ไปเป็นกลุ่ม ตามมุมต่าง ๆ ของโรงเรียน เช่น มุมอับของสวนสาธารณะ หรือห้องน้ำ แต่กิจกรรมที่เขาทำกันนั้น จะเลยเถิดขนาดไหนตนก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ และการกระทำในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นช่วง 2 เวลา คือพักเที่ยงกลางวันหลังกินข้าวเสร็จ กับตอนเย็นหลังเลิกเรียน ก่อนถูกเรียกเข้าเรือนนอน
เนื่องจากตั้งแต่เวลา 19.00 น. ครูจะให้นักเรียนแยกย้ายไปอาบน้ำ ทำภารกิจส่วนตัว แล้วเรียกรวมอีกทีตอนประมาณ 20.00 น. เพื่อสวดมนต์ในเรือนนอน ดูโทรทัศน์ และนอนหลับพักผ่อน ซึ่งช่วงเวลานี้ครูจะล็อกประตูห้อง ล็อกหน้าต่าง พร้อมกับนอนเฝ้าที่บริเวณประตูเข้าออกตลอด เข้มงวดมาก ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนนอกเข้ามาในเรือนนอนได้ บวกกับช่วงนั้นไม่ได้มีสถานการณ์โควิด-19 ครูจึงสามารถเข้ามาดูแลนักเรียนได้ใกล้ชิด จริงแล้วหลังจากตนเรียนจบก็ได้ยินข่าวมาว่ามีนักเรียนหญิงที่ตั้งครรภ์ระหว่างเรียนจนต้องออกจากโรงเรียนด้วย แต่ตนก็ไม่ทราบสาเหตุว่าการตั้งครรภ์ในครั้งนั้นเกิดจากนักเรียนชายในโรงเรียนหรือเป็นบุคคลภายนอก เพราะปกติแม้ว่าจะเป็นนักเรียนประจำกินนอนในโรงเรียน ก็จะมีช่วงที่ทางโรงเรียนปล่อยให้กลับบ้าน อย่างเช่นช่วงปิดเทอม
อย่างไรก็ตาม ในฐานะศิษย์เก่า พอทราบข่าวที่เกิดขึ้นก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหมือนกัน และเป็นเรื่องของความปลอดภัยนักเรียนที่ครูอาจจะต้องดูแล แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมใจในความกล้าของผู้เสียหายที่ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรม ไม่อย่างนั้นอาจจะมีรอบต่อไปอีกเรื่อย ๆ ถ้าถามว่าอยากให้โรงเรียนมีมาตรการแก้ไขอย่างไร ยอมรับปัจจุบันไม่รู้ว่ามาตรการของโรงเรียนเป็นอย่างไร แต่สมัยที่ตนยังเรียนอยู่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพมากพอสมควร จึงอยากจะฝากในมุมของตัวนักเรียนมากกว่า เนื่องจากปัจจุบันโลกกว้างขึ้น อาจจะทำให้จริยธรรมของคนถอยลง เชื่อว่าทุกโรงเรียนมีทั้งเด็กดีและเด็กไม่ดี เพราะฉะนั้นการทำตามกฎของโรงเรียนถือเป็นสิ่งที่พึงปฎิบัติ
Advertisement