จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ "สุรชาติ ผิวแดง" ผู้ช่วยรองโฆษกพรรคภราดรภาพ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เล่าเรื่องราวของหญิงสาวรายหนึ่ง ได้เข้าร้องขอความช่วยเหลือ หลังต้องตกเป็นผู้ต้องหาในฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งตำรวจได้แจ้งข้อหา เนื่องจากเชื่อว่าเป็นผู้วางแผนใส่ยาฆ่าแมลงในน้ำดื่มเพื่อฆ่าสามี ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าไม่ได้เป็นคนทำ แต่ถูกครอบครัวของสามีกลั่นแกล้งใส่ร้าย เพื่อหวังที่จะฮุบมรดกกว่า 100 ล้านบาท
ส่วนข้อมูลจากตำรวจว่ามีหลักฐานในการมัดตัวนางนิดว่าเป็นผู้วางยาฆ่าสามีของตัวเองจริง หลังเกิดเหตุก่อนตำรวจมาถึง กล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่าได้โยนถุงยาพิษทิ้งข้ามกำแพง ตำรวจยังไปพบยาฆ่าแมลงชนิดอื่นในรถเบนซ์ของนางนิดระหว่างจะหลบหนีด้วยนั้น
ล่าสุด วันที่ 26 ก.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ตามหาร้านขายยาฆ่าแมลงที่ตำรวจเชื่อว่า ได้มีการเตรียมที่จะวางแผนวางยาพิษฆ่าสามีตัวเอง พยานปากสำคัญที่ตำรวจได้นำไปสอบปากคำ คือ นางสาวก้อย (นามสมมติ) คนรับใช้ ได้ให้การว่าถูกคนได้ใช้ให้ตัวเองนั่งรถไปเป็นเพื่อน เป็นคนลงไปซื้อยาฆ่าแมลงให้ ถูกสั่งว่า "ห้ามบอกใคร เดี๋ยวจะให้เงิน"
ทีมข่าวเดินทางมาที่ร้านขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร อยู่ห่างจากโรงงานที่เกิดเหตุ 19 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 25 นาที สอบถามเจ้าของร้าน เฮียลิ้ม (นามสมมติ) อายุ 75 ปี เจ้าตัวยอมรับว่า ตนเองเป็นคนขายยาฆ่าแมลงซองสีแดง เรียกอีกอย่างว่า "เมโทมิล" ชื่อทางการค้าที่ชาวบ้านต่างรู้จักกันในชื่อ "แลนเนท" ซึ่งยาตัวนี้เป็นยากำจัดแมลงศัตรูพืช เป็นยาเบื่อที่อันตราย
ตนเองจำได้ว่าวันนั้นได้มีรถกระบะคันหนึ่งขับมาจอดหน้าร้าน มีหญิงสาวคนหนึ่งเปิดประตูฝั่งคนนั่งเดินลงมาจากรถ ลงมาซื้อยาฆ่าแมลง มีคนรออยู่บนรถไม่เห็นว่าเป็นคน หญิงคนนี้บอกว่าขอซื้อยาฆ่าหนอน ตนเองจึงถามกลับไปว่าเอาแบบไหน ชนิดอะไร เขาบอกว่า "เดี๋ยวขอเลือกดูก่อน" ตนเองจึงเดินไปหยิบขวดยาฆ่าแมลงชนิดน้ำยื่นให้ ต่อมาหญิงคนนั้นได้ถือขวดยาฆ่าแมลงกลับไปที่รถ คล้ายกับไปถามคนในรถที่นั่งอยู่ว่าใช้ยี่ห้อที่อยากได้หรือไม่
จากนั้นเดินกลับมาบอกตนเองว่าไม่เอาแบบน้ำ และขอเปลี่ยนเลือกยาฆ่าหนอนชนิดอื่น ตนเองจึงได้หยิบยาฆ่าแมลงแบบซองชนิดผงมาให้ลูกค้าเลือกหลายซอง คือ แลนเนท หรือ เมโทมิล ซองสีแดง จากนั้นหญิงคนนั้นก็ได้ยืนตัดสินใจอยู่ซักพัก เลือกซองแดงดังกล่าวไป 1 ซอง ก่อนขึ้นรถออกไปทันที ยอมรับว่าตอนนั้นตนเองไม่รู้หรอกว่าเป็นคนรับใช้ของนางนิดจะซื้อยาพวกนี้ไปวางยาฆ่าคน เพราะคนมาซื้อบอกว่าอยากได้ยาฆ่าหนอน ตนเองก็เพียงหยิบให้ลูกค้าตามความต้องการ และลูกค้าตนเองมาซื้อของที่ร้านเยอะแยะ
ทีมข่าวจึงเปิดรูปหน้าเสี่ยเก่ง นางนิด และคนรับใช้ให้เฮียลิ้มดูว่าคุ้นหน้าทั้งหมดหรือไม่ เพราะนางนิดเคยอ้างกับทีมข่าวว่าเจ้าตัวและสามีมักจะเปลี่ยนกันมาซื้อยาฆ่าแมลงมาใส่ต้นไม้ ต้นกระบองเพชรเป็นประจำ แต่ทางเจ้าของร้านยืนยันว่าตนเองและคนในร้านไม่เคยเห็นครอบครัวนี้มาซื้อยาฆ่าแมลงที่ร้านเลย และเป็นลูกค้าขาจรที่แวะมาซื้อครั้งนั้นเพียงครั้งเดียว
หลังจากนั้นไม่กี่วันตำรวจได้เดินทางมาสอบถามตรวจสอบกล้องวงจรปิดตนเองที่ร้าน ตนเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี พยายามนึกจนจำได้ว่านางสาวก้อย คนรับคนนี้ได้มาซื้อยาฆ่าแมลงที่ร้านจริง แต่กล้องวงจรปิดที่ร้านไม่ได้บันทึกไว้ เพราะตัวบันทึกความจำเสีย
นางนิด ชี้แจงว่า ประเด็นแรก มีเอกสารที่ฝั่งครอบครัวสามีได้ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดราชบุรี ซึ่งใบเอกสาร ระบุคำร้อง ให้เพิกถอนอำนาจการปกครองในการดูแลลูกทั้งสองคนของเธอ และร้องกับศาลให้แต่งตั้งนายไก่ ซึ่งเป็นพี่ชายของเสี่ยเก่ง เป็นผู้ดูแลลูกทั้ง 2 คนของตนเองแทน
ตนมองว่านายไก่พูดโกหกที่อ้างว่าต้องการเลี้ยงดูลูกของตนและร้องต่อศาลเป็นคนดูแลลูกในการย้ายโรงเรียนเท่านั้น ตนเองขอท้าให้นายไก่ กล้าคืนลูกให้ตนเองเลี้ยงดูได้หรือไม่ หากไม่ได้กีดกัน เพราะตนเองยังไม่ถูกศาลตัดสิน และเป็นแม่ของเด็ก นายไก่บอกว่าไม่เคยคิดเอาเงินประกันชีวิตสามีและในใบคำร้องหมายความว่าอย่างไร เงินกันประกันที่สามีทำมี 2 เล่ม เล่มหนึ่งมูลค่า 40 ล้านบาท อีกเล่มจำนวน 20 ล้านบาท
ประเด็นที่บอกว่าตนเองไปซื้อยาฆ่าแมลงกับคนใช้ ตนเองยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง วันที่ 26 พ.ย. ประมาณเที่ยง ตนเองคุยกับคนใช้ ว่า "ต้นโพธิ์ 7 สีหน้าโรงงานมันมีแมลงกัด" จึงไปหาซื้อยามาช่วยรักษาต้นไม้ และตนเองก็ปลูกต้นไม้ขายด้วย ก็ใช้ยากำจัดวัชพืชตลอด จึงพาคนรับใช้ไปซื้อยาฆ่าแมลงจริง แต่ตนเองไม่ยังไม่ได้แตะต้องยาเลยด้วยซ้ำ
"ตนเองไม่เคยคิดวางยาฆ่าสามี หากตำรวจมีหลักฐาน ทำไมถึงไม่มีรอยนิ้วมือ หรือดีเอ็นเอที่ขวดเครื่องดื่ม หากตนเองทำมันต้องมี และขอท้าตำรวจให้เอากล้องวงจรปิดงัดออกมาเลยว่าเห็นตอนตนเองผสมยาใส่ขวด ความจริงก็คือความจริง ตนเองไม่ได้ทำ โทษของตนเองคือประหารชีวิต ถ้าตนเองไม่แน่จริงตนเองไม่มานั่งพูดอยู่ตรงนี้ แต่ต้องสู้เพราะไม่ได้ทำ และตนเองอยากเจอหน้าลูก"
ส่วนที่ตำรวจได้หลักฐานกล้องวงจรปิด ก่อนตำรวจจะมาถึงวันที่ 29 พ.ย. เช้าตนเองได้ทิ้งถุงดำปริศนาข้ามกำแพงบ้าน คล้ายกับทำลายหลักฐาน ตนเองยอมรับว่าโยนทิ้งจริง ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นยาฆ่าแมลงที่อยู่ในถุง แต่ที่ทำไป พราะตนเองถูกพี่สะใภ้เข้ามาตบหน้าและทำร้าย บีบบังคับให้ตนเองพูดว่า "ยาฆ่าหญ้านี้ มึงเอาฆ่าผัวมึง ส่วนลูกเดี๋ยวกูรับเป็นบุตรบุญธรรมเอง" นอกจากนี้ตนเองยังถูกหญิงคนนี้ตามไปตบถึงโรงพักอีกด้วยในวันนั้น
ประเด็นที่บอกว่าตนเอายาใส่ในขวดเครื่องดื่มชูกำลัง ถ้าตนเองใส่จริงต้องมีลายมือ วงจรปิดต้องบันทึกภาพได้ แล้วที่บอกว่าตนเอายาใส่ในน้ำดื่มให้ลูกน้องจะใส่ทำไม ใส่แล้วได้อะไร มูลเหตุจูงใจจะทำไปเพราะอะไร ที่ผ่านมาตนกับสามีสร้างธุรกิจด้วยกันมา คบกันมากว่า 16 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คน มีครอบครัวที่อบอุ่น จะฆ่าสามีฆ่าคนในครอบครัวไปเพื่ออะไร ในเมื่อตนก็อยู่สบายอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ตนมีเอกสารที่ถูกฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งสิ้น 11,700,000 บาท ซึ่งในเอกสารระบุว่าขณะที่สามีตนเองมีชีวิตอยู่ ได้จัดสรรดูแลเงินให้ทั้งพ่อแม่และพี่ชาย ให้เงินรายเดือนกับคนครอบครัวทุกเดือน และคิดเองว่าในเอกสารระบุชัดว่ารับเงินเดือนเดือนละ 25,000 บาท แต่ตามจริงพี่ชายและน้องชายเสี่ยเก่งได้เงินเดือนละ 40,000 บาท ส่วนพ่อแม่ได้เดือนละ 50,000 บาท ถ้าเป็นกงสีทำไมไม่แบ่งผลประโยชน์กันเอง มารับเงินเดือนทำไม ตนยืนยันว่าไม่ได้ฆ่าสามี และจะสู้คดีให้ถึงที่สุด จะไม่หนีไปไหน จะขอสู้เพื่อลูกทั้ง 2 คน จะได้กลับมาเจอกันอีก
Advertisement