จากกรณีโพสต์สุดทะเทือนใจของ นางสาวแก้ว (นามสมมติ) ผู้เป็นแม่ ที่ต้องสูญเสียน้องณิชา ลูกน้อยวัย 2 ขวบ 2 เดือน จากอาการป่วยปอดติดเชื้อและหัวใจล้มเหลว แต่กลับถูกเพิกเฉยในการรักษาจากทีมแพทย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของ อ.เลิงนกท่า จ.ยโสธร
สำหรับไทม์ไลน์อาการป่วยของลูกสาว วันพุธ ที่ 5 มกราคม 2565 ช่วงกลางดึก มีอาการอาเจียน 8 ครั้ง วันพฤหัสบดี ที่ 6 มกราคม 2565 ช่วงเช้า พาลูกสาวไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตัวอำเภอ เบื้องต้นหมอประเมินจากอาการ แจ้งว่าลูกสาวลำไส้อักเสบ จึงสั่งให้นอน 1 คืน จากนั้นหมอก็เข้ามาเจาะเลือดลูกสาวไปตรวจ ยังไม่ได้แจ้งว่าลูกสาวป่วยเป็นอะไร
วันศุกร์ ที่ 7 มกราคม 2565 ตอนเช้า อาการอาเจียนของลูกสาวเริ่มดีขึ้น บวกกับตอนนั้นลูกสาวเริ่มสดใส เล่นกับพี่ๆเพื่อนๆได้ปกติ หมอจึงลงความเห็นให้กลับบ้านได้ โดยที่ไม่มีการแจ้งผลของการเลือดที่เจาะไปตรวจตั้งแต่เช้าของวันที่ 6 มกราคม
วันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2565 ลูกสาวเริ่มมีไข้ต่ำ ตัวร้อนรุม ๆ ต้องเช็ดตัวให้ทั้งวัน ตนจึงตัดสินใจพากลับไปที่โรงพยาบาลอีกรอบที่ 2 แต่ครั้งนี้ไม่ได้รับการตรวจอะไรเลย ได้มาแค่ยาพาราเซตามอล 1 ขวด ทั้งที่ตนเอ่ยปากถามหมอแล้วว่าขอยาฆ่าเชื้อได้ไหม แต่คำตอบที่ได้มาคือไม่จำเป็นต้องกิน จะหายเองภายใน 7 วัน จากนั้นตนก็พาลูกสาวกลับบ้าน ให้กินยาพาราก่อนนอน เช็ดตัวให้ตลอดจนถึงเช้า
วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2565 ช่วงเช้า ลูกสาวเหมือนจะอาการดีขึ้น ตัวไม่ร้อน ไม่มีไข้ แต่ในทางกลับกันลูกสาวมีอาการแปลก มีอาการซึม ไม่ค่อยพูด บวกกับหายใจเร็ว เหนื่อยง่าย ยืนเองไม่ได้ คิดว่าลูกสาวอาจจะเป็นโรคหอบ แต่ก็ยังไม่แน่ใจเพราะลูกสาวไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน จึงตัดสินใจพาลูกสาวกลับไปโรงพยาบาลที่เดิมเป็นครั้งที่ 3 ตนเป็นคนขับ แล้วให้แม่หรือยายของลูกสาวเป็นคนอุ้ม แต่ระหว่างทางที่ไปโรงพยาบาลนั้น ลูกสาวก็มีอาการช็อกหมดสติ หมอก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือทันที พยาบาลเดินมาดูอาการ เห็นชัดเจนว่าลูกสาวตนอยู่ในอาการหมดสติหน้าซีด พยาบาลบางรายกลับนั่งกินขนม ก้มเล่นโทรศัพท์ ขณะที่ตนกับยายร้องขอความช่วยเหลือให้ช่วยตลอดเวลา เพราะอาการของลูกไม่ไหวแล้วจริง ๆ สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดคือ พยาบาลรายหนึ่งตอบกลับออกมาว่า "จะให้ทำไงล่ะ จะให้ช่วยไงล่ะ" ตนโกรธมาก อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับลูกของเขาบ้าง จะได้เข้าใจความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างไร
เวลาผ่านไปเกือบ 30 นาที ที่รออย่างทรมานหัวใจกว่าจะมีหมอเดินมาดู พยาบาลถึงจะเข้ามารุมเสียบเข็ม เจาะเลือด ตนจับมือลูกสาวไว้ตลอด พร้อมกระซิบข้างหูว่า "ณิชาแม่อยู่นี่ ไม่เป็นไรนะลูก อดทนนะคนเก่ง หนูต้องหาย หนูต้องอยู่กับแม่" แต่อาการลูกสาวก็แย่ลงเรื่อย ๆ ค่าหอบขึ้น 60 ออกซิเจนต่ำ หมอจึงถามว่าจะใส่เครื่องช่วยหายใจแล้วส่งต่อไปยังโรงพยาบาลในตัวจังหวัดไหม ตนก็ยินดี เพราะวินาทีนั้นคิดแค่ว่าจะทำทุกทาง ยอมทุกอย่างขอแค่ลูกหาย
จนกระทั่งพามาถึงโรงพยาบาลในตัวจังหวัด หมอก็พาลูกสาวเข้าไปในห้องปลอดเชื้อทันที เพื่อทำการใส่ท่อ ตนก็ทำได้แค่ยืนรอหน้าห้อง ยืนฟังเสียงลูก หลังจากลูกสาวเข้าไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงลูกร้องเหมือนจะขาดใจ 3 ครั้ง แล้วเสียงนั้นก็เงียบหายไป หมอก็เดินมาจากห้องบอกว่า "คุณแม่ครับ ในขณะที่หมอพยายามใส่เครื่องช่วยหายใจ หัวใจน้องหยุดเต้น ตอนนี้กำลังพยายามปั๊มหัวใจอยู่" วินาทีนั้นตนหน้าชา หูอื้อ เหมือนหัวใจแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ สุดท้ายหมอเรียกตนและญาติให้ไปดูลูก ถอดสายทุกอย่างออกต่อหน้าตน พร้อมบอกว่าลูกเสียชีวิตแล้ว ตอนนั้นมันจุกเจ็บปวดในใจ ได้แต่กอดร่าง ทุกอย่างมืดไปหมดเลย สิ่งที่หมอบอกหลังลูกเสียชีวิตคือ "น้องปอดติดเชื้อ หัวใจล้มเหลว" ตนก็เลยพูดกับหมอไปว่า "ลูกหนูเป็นขนาดนี้ ทำไมวันนั้นสั่งกลับ ขอยาฆ่าเชื้อทำไมไม่ให้ มาตั้งหลายรอบทำไมไม่ตรวจ ทำไมปล่อยให้ลูกหนูนอนรอความตาย" แต่หมอก็ไม่ได้ตอบกลับมา
และในช่วงท้ายของโพสต์นี้ มีคำขอโทษแด่ลูกสาวผู้ล่วงลับไว้ว่า "แม่ขอโทษนะณิชา หนูคงเจ็บ คงทรมาน แม่ขอโทษ ขอโทษที่ดูแลไม่ได้ พาหนูเติบโตไปกว่านี้ไม่ได้ ถ้ายังมีวาสนาต่อกัน กลับมาเกิดเป็นลูกแม่อีกนะณิชา"
ทั้งนี้ทางครอบครัวได้นำร่างของน้องณิชาบำเพ็ญกุศลศพที่สำนักสงฆ์ดงหมากแหน่ง ต.บุ่งค้า อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565 โดยมีแพทย์และพยาบาลมาร่วมพิธี ส่วนช่วงเช้าของวันนี้ 11 มกราคม 2565 เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ได้มีการเข้ามาแสดงความเสียใจ พูดคุยถึงการเยียวยาครอบครัวแล้วเป็นการเบื้องต้น
เวลา 15.00 น. ทีมข่าวเดินทางไปยังบ้านของน้องณิชา ในพื้นที่บ้านช่องเม็ก ต.บุ่งค้า อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร บรรยากาศที่บ้านยังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มีการทำบ้านจำลองไว้ให้กับดวงวิญญาณของน้องณิชาแล้ว โดยภายในมีทั้งข้าวของเครื่องใช้สำหรับเด็กและขนม
นางสาวแก้ว ผู้เป็นแม่ เปิดใจทั้งน้ำตาว่า ตั้งแต่เกิดมา ลูกสาวไม่เคยมีโรคประจำตัวเลย สุขภาพร่างกายแข็งแรงปกติมาโดยตลอด ไม่มีวี่แววหรือสาเหตุที่ทำให้ลูกสาวป่วยเป็นปอดติดเชื้อและหัวใจล้มเหลวได้เลย แล้วจู่ ๆ ก็มาป่วย จึงทำให้ตนยังคงคาใจสาเหตุการเสียชีวิต บวกกับระยะเวลาที่ตนพาลูกไปโรงพยาบาลถึง 3 วันติด แต่กลับไม่ได้รับการรักษา จนสุดท้ายลูกมาเสียชีวิต จึงตัดสินใจโพสต์เรื่องราวเอาไว้
ต่อมาในเวลา 15.30 น. ทางครอบครัวก็ได้เดินทางไปเก็บกระดูกของ “น้องณิชา” ที่เมรุของสำนักสงฆ์ดงหมากแหน่ง ต.บุ่งค้า อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร โดยตามความเชื่อของคนในหมู่บ้าน จะใช้ก้านกล้วยหักเป็นตะเกียบเพื่อใช้คีบกระดูก เนื่องจากจากเชื่อกระดูกคนตายเป็นของร้อน หากใช้มือจับจะไม่ดี เมื่อไปเพาะปลูกพืชผักจะไม่งอกงาม
เมื่อคีบกระดูของน้องใส่ถุงตาข่ายได้จำนวนหนึ่งแล้ว กระดูกที่เหลือก็จะถูกจัดให้เป็นรูปร่างกายมนุษย์ และนำเหรียญบาท 32 บาทมาวางตามจุดต่าง ๆ จนครบ 32 ส่วนของร่างกาย เพราะเป็นความเชื่อที่จะทำให้ให้ชาติหน้า ดวงวิญญาณจะกลับเกิดใหม่ แล้วมีร่างกายครบ 32 ประการ
นายธิปการ สุรินทร์ อายุ 50 ปี ลุงของน้องณิชา บอกว่า ตอนนี้ทุกคนยังคงเสียใจ สะเทือนใจมาก โดยเฉพาะพ่อแม่ของหลานที่ยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังหลานเสียชีวิต ก็ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ไม่มีใครคิดเลยว่าหลานจะจากไปเร็วขนาดนี้ เพราะน้องณิชาเป็นเด็กคนหนึ่งที่ร่าเริง สดใสมาก ร่างกายก็แข็งแรง อาจจะป่วยบ้างตามปกติของเด็กเล็ก แต่ไม่มีโรคประจำตัว วินาทีที่ทราบข่าวว่าหลานป่วยมีอาการอาเจียน ก็คิดว่าคงป่วยปกติทั่วไป แต่สุดท้ายมารู้ว่าหลานเสียชีวิตก็เสียใจมาก น้ำตาไหลโดยปริยาย
แต่ถ้าถามว่าครอบครัวยังคงติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของหลานอยู่หรือเปล่า จากที่ได้มีการพูดคุยกันก็มองว่าทีมหมอและพยาบาลน่าจะช่วยชีวิตหลานอย่างเต็มที่แล้ว ตนเข้าใจว่ามันอาจจะมีบางอย่างที่ทำให้แม่เด็กเข้าใจว่าพยาบาลไม่สนใจ อย่างไรก็ตาม วันนี้ในเมื่อหลานเสียชีวิตไปแล้ว ตนในฐานะลุงก็อยากให้หลานไปสู่สุคติ อยากบอกกับหลานว่ารักมาก หากชาติหน้ามีจริงก็อยากให้หลานเกิดมาเป็นลูกของพ่อและแม่คนเดิมอีก
นพ.เจนวิทย์ เวชกามา ผอ.รพ.เลิงนกทา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 65 เวลาประมาณ 10.00 น. แม่และยายพาผู้ป่วยมาตรวจที่โอพีดีเด็กด้วยอาการอาเจียน 11 ครั้ง ถ่ายปกติ เป็นมา 10 ชั่วโมง แพทย์วินิจฉัยกระเพาะอาหารอักเสบให้นอน รพ. และแพทย์สั่งให้น้ำเกลือ ให้ยาแก้อาเจียนทางเส้นเลือด เจาะเลือดตรวจการติดเชื้อ ผลการตรวจเลือดกระเพราะ อาหาร และลำไส้อักเสบจากไวรัส
ต่อมาวันที่ 7 ม.ค. 65 เวลา 10.00 น. แพทย์ตรวจสอบถามอาการจากแม่ บอกว่าไม่อาเจียน กินได้ เล่นได้ แพทย์จึงให้กลับบ้านให้เกลือแร่ยาขับลม และยาแก้อาเจียนกลับบ้าน ต่อมาวันที่ 8 ม.ค. 65 เวลาประมาณ 20.00 น. กลับมาที่ห้องฉุกเฉินอีกครั้ง ตรวจแล้วไม่มีไข้ ร่างกายปกติ จึงให้ยาลดไข้กลับบ้าน
วันที่ 9 ม.ค. 65 เวลา 15.15 น. แม่และยายพามา รพ. อีกครั้ง ด้วยอาการหายใจหอบซึม มีอาการชักเกร็งประมาณ 2 นาที มาถึงห้องฉุกเฉิน ผู้ป่วยหลับหายใจเร็ว วัดระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าค่าปกติ เวลา 15.30 น. รายงานแพทย์เวรห้องฉุกเฉินพร้อมให้ออกชิเจนผ่านทางหน้ากากออกซิเจน ประเมินระดับออกซิเจนดีขึ้น หายใจหอบลดลง ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ในขณะนั้นมีผู้ป่วยนอนรอตรวจในห้องฉุกเฉิน ได้แก่ ผู้ป่วยชัก 2 ราย จากอุบัติเหตุ จากนั้นปอดพบการติดเชื้อ ใส่ท่อช่วยหายใจ และส่งตัวมารักษาต่อที่ รพ.ยโสธร เวลา 16.32 น. ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น จึงได้ช่วยปั๊มหัวใจ 30 นาที และเสียชีวิตเวลา 17.02 น. สาเหตุการเสียชีวิต เนื่องจากระบบหายใจล้มเหลวจากปอดติดเชื้อ
ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลได้การดำเนินการหลังเด็กเสียชีวิต ดูแลช่วยเหลือที่ห้องฉุกเฉิน และได้ร่วมนำส่งศพ โดยรถโรงพยาบาลพร้อมแม่และยาย วันที่ 10 ม.ค. 65 แพทย์และพยาบาลร่วมพิธีเผาศพและช่วยดูแลจิตใจญาติ พร้อมที่จะดูแลและช่วยเหลือผู้สูญเสีย นอกจากนี้ตนยังได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว
Advertisement