รปภ.โหดฉุนเพื่อนไม่สลับเวร คว้าอีโต้สับสมองกระจาย เมียช็อกรุดดูหน้าฆาตกร (คลิป)

กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งเหตุมีผู้ถูกทำร้ายร่างกายเสียชีวิต ภายในป้อมยามด้านหน้าสำนักงานและโกดังให้เช่าแห่งหนึ่ง ถนนพระราม 2 ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ ต.บางน้ำจืด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ที่เกิดเหตุเป็นป้อมยามตั้งอยู่ด้านหน้าโกดัง ติดกับริมถนนพระราม 2 ภายในป้อมยามพบศพผู้เสียชีวิตนอนหงายจมกองเลือด ยังอยู่ในชุดเครื่องแบบรปภ. ของบริษัทแห่งหนึ่ง ทราบชื่อต่อมา นายอำนาจ ยะกิจ อายุ 48 ปี ชาวจังหวัดเพชรบูรณ์

ส่วนผู้ก่อเหตุทราบชื่อ นายอุดร จ่าเดชา อายุ 61 ปี ชาวต.สะอาด อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นรปภ.บริษัทเดียวกันและยังทำงานเฝ้าโกดังแห่งนี้มานาน 3–4 ปี หลังก่อเหตุได้หลบหนีไป 

ล่าสุดวันที่ 30 ธ.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ พบว่าวันนี้ได้มีการล้างคราบเลือดและทำความสะอาดป้อมยามที่เกิดเหตุแล้ว และมีพนักงานรักษาความปลอดภัยกะกลางวันมาทำหน้าที่แทน อีกทั้งยังมีตัวแทนของบริษัทรักษาความปลอดภัย เข้ามาตรวจและเยี่ยมให้กำลังใจพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่เป็นระยะ

นายประครอง ไกรยนารถ ผู้จัดการเขตลงพื้นที่มาดูที่เกิดเหตุ และพูดคุยสร้างขวัญกำลังใจให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ทำงานอยู่ต่อ พร้อมทั้งพาทีมข่าวไปดูต้นพืชผักสวนครัว อาทิ ต้นกล้วย ต้นมะละกอ ต้นมะเขือ ซึ่งพืชผักสวนครัวเหล่านี้นายอำนาจ ได้ปลูกร่วมกับนายอุดร 

ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ชุดสืบสวนจาก สภ.เมืองสมุทรสาคร ยังได้ลงพื้นที่มาติดตามความคืบหน้าและตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในโกดัง เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับเส้นทางหลบหนีของนายอุดร แต่โดยเบื้องต้นพบว่าระบบบันทึกกล้องวงจรปิดใช้การไม่ได้ จึงได้มีการขยายผลและติดตามตัวจากกล้องวงจรปิดตัวอื่นนอกโกดัง

หลังจากนั้นชุดสืบสวนได้มีการเชิญตัวนายสมพงษ์ สิมมาทอง อายุ 47 ปี รุ่นน้องคนสนิทของนายอุดร ในฐานะเพื่อนร่วมงาน ขึ้นรถชุดสืบสวนออกไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ เพื่อไปติดตามหาเบาะแสในจุดพิกัดที่คิดว่านายอุดรจะหลบหนี แต่ชุดสืบสวนได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชนไม่ให้ติดตาม เพราะกลัวว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี

กระทั่งเวลาประมาณ 13.00 น. หลังจากชุดสืบสวนได้ให้นายสมพงษ์ รุ่นน้องคนสนิทของคนก่อเหตุ ไปช่วยทำการเกลี้ยกล่อมที่บ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่สมุทรสาคร ซึ่งทราบว่าเป็นบ้านญาติห่าง ๆ ของนายอุดร จึงได้เชิญตัวไปสอบปากคำและบันทึกจับกุมที่ห้องสืบสวนของสภ.เมืองสมุทรสาคร พร้อมทั้งมีการตรวจยึดรถจักรยานยนต์ ทะเบียน 1กฉ 142 สมุทรสาคร เป็นรถที่ใช้หลบหนีหลังก่อเหตุ นำกลับมาเป็นของกลางที่โรงพัก เพื่อเตรียมที่จะทำแผนประกอบรับคำสารภาพ

นายสมพงษ์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนออกไปพร้อมกับชุดสืบสวน ได้ไปตามหาพิกัดบ้านญาติและบ้านพักส่วนตัวของนายอุดร ที่คาดว่าหลังจากก่อเหตุแล้วได้หลบหนีไปซ่อนตัว แต่ไปตามหาที่ห้องพักส่วนตัวแล้วไม่เจอ จึงได้ไปที่บ้านญาติหลังหนึ่งในพื้นที่ตัวเมืองสมุทรสาคร จุดที่ตนเคยไปนั่งกินเหล้ากับคนก่อเหตุ ปรากฏว่าไปเจอตัวนายอุดร อยู่ที่บ้านหลังดังกล่าวจริง โดยเป็นการไปขออาศัยอยู่กับญาติห่าง ๆ ซึ่งเขาอยู่ในอาการตกใจ และร้องไห้เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิด และบอกกับตนว่ายังทำใจไม่ได้ ตอนนั้นตนก็ตัดสินใจเข้าไปกอดและบอกให้มอบตัว

"เหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้วก็อยากให้มอบตัว และรับผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ส่วนตัวรู้สึกสงสารนายอุดร ที่ปกติเป็นคนขยันและเป็นคนดี แต่ก็ไม่คิดว่าจะไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุครั้งนี้ ฉะนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว ก็ต้องว่าไปตามขั้นตอนของกฎหมาย" นายสมพงษ์ กล่าว 

ในวันที่เกิดเหตุตนก็อยู่ในเหตุการณ์ ช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. กำลังจะออกจากกะกลางวัน ตอนนั้นนายอุดรชึ่งเข้ากะกลางคืนกับนายอำนาจ ได้เดินทางมาถึงก่อนเวลา เข้าไปในป้อมเพื่อลงชื่อเข้างาน ตนจึงได้เดินออกไปอยู่ที่หน้าป้อม เตรียมที่จะกลับบ้าน และจังหวะนั้นเป็นช่วงที่นายอำนาจ ได้เข้ามาถึงที่ป้อมพอดี นายอุดรก็เลยเดินออกไปซื้อน้ำแข็งที่ร้านขายของชำหน้าโกดัง เมื่อกลับมาถึงที่ป้อมอีกครั้ง ได้ทะเลาะมีปากเสียงกันด้านในป้อม นายอุดรพูดตะโกนขึ้นมาว่า “ทำไมมึงทำงานเอาเปรียบกูแบบนี้” จากนั้นก็ได้ยินเสียงของนายอำนาจ ตอบกลับไปว่า “ก็แค่ทำงานให้ถึงสิ้นปีแล้วค่อยเปลี่ยนก็ได้”

ทั้งนี้ตนเข้าใจว่าทั้งคู่มีปากเสียงเรื่องการเปลี่ยนจุดประจำภายในโกดัง เพราะปกติเวลาทำงานในโกดังจะมีจุดเฝ้ารักษาความปลอดภัย 2 จุด คือ ด้านหน้าโกดังด้านใน จะทำหน้าที่ตรวจตัวอาคารรอบนอกและเฝ้าบริเวณทางเข้าของตัวอาคารโกดัง และป้อมรักษาความปลอดภัยด้านนอก ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ในการตรวจรถเข้าออกและเปิดปิดประตูตลอดเวลาเมื่อมีคนผ่าน ดังนั้น เมื่อทั้งคู่มีปัญหากันเรื่องของการเปลี่ยนจุด ตนจึงได้ยินเสียงร้องโอดครวญของนายอำนาจ ก่อนที่จะสิ้นใจคาป้อมรักษาความปลอดภัย

สำหรับรูปแบบของการเปลี่ยนเวรกันจะเปลี่ยนกันทุก ๆ 15 วัน ฉะนั้นในเมื่อวันดังกล่าวถึงวันเปลี่ยน แต่นายอำนาจไม่ยอมเปลี่ยน และยืนยันว่าจะอยู่เฝ้าด้านในไม่ยอมออกมาอยู่ป้อมด้านนอก จึงทำให้เกิดมีปากเสียง และก่อนหน้านี้นายอำนาจ ก็เคยมีการถ่ายรูปรายงานไปยังสำนักงานใหญ่และผู้จัดการเขต อ้างว่านายอุดร ไม่ยอมช่วยงาน บางครั้งแอบอู้งานเล่นมือถือหรือนั่งประจำที่ไม่ยอมลุกไปปฏิบัติงาน ทำให้ถูกถ่ายรูปไปฟ้องกับสำนักงานใหญ่ จึงทำให้เกิดความไม่พอใจ และเรื่องดังกล่าวก็เป็นชนวนเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ไม่ลงรอยกัน แต่ก็ไม่เคยรุนแรงถึงขั้นที่จะฆ่าแกงกันแบบนี้

เวลา 14.00 น. พ.ต.อ.ธนากร วงศ์สิริลักษณ์ ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร พร้อมด้วยชุดสืบสวนและสอบสวน นำตัวนายอุดร จ่าเดชา ผู้ต้องหาในคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยมีการคุมตัวมาทำแผนประกอบรับคำสารภาพที่ป้อมรักษาความปลอดภัยของโกดังที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ให้ผู้ต้องหาใส่หมวกกันน็อกและเสื้อกันเกาะมาทำแผนประกอบรับคำสารภาพ เนื่องจากจะมีครอบครัวของคนตาย ที่อยู่ในอาการไม่พอใจ เดินทางมาร่วมดูการทำแผนในวันนี้ด้วย

แต่ทางครอบครัวก็ยืนดูด้วยความสงบ ไม่ได้มีการตะโกนด่าทอ เพราะก่อนหน้านี้ก่อนที่จะนำตัวผู้ต้องหามาทำแผน พ.ต.อ.ธนากร ผกก. ได้มีการเข้าไปชี้แจงและทำความเข้าใจกับคนในครอบครัว เพื่อไม่ให้การทำแผนยุติกลางคัน ฉะนั้นครอบครัวของนายอำนาจ จึงได้แต่ยืนดูด้วยความเรียบร้อย แต่จะมีคนในครอบครัวบางคนหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพและคลิปวิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐาน และจุดที่ครอบครัวของคนตายยืนอยู่จะถูกจัดให้อยู่นอกเส้นโพลิสไลน์รอบนอก

ในการทำแผนในวันนี้ นายอุดร ให้การกับพนักงานสอบสวนและพาไปชี้จุดเกิดเหตุ โดยอ้างว่าหลังจากที่ขี่รถมาจอดบริเวณข้างป้อมรักษาความปลอดภัย ได้เข้าไปลงบันทึกเวลาทำงานภายในป้อม จากนั้นได้เจอกับคนตายที่ยืนอยู่ด้านใน จึงได้มีปากเสียงกัน ทำนองว่าเมื่อไรจะเปลี่ยนจุดงานในโกดัง ทำไมตัวนายอำนาจมีลักษณะเอาเปรียบไม่ยอมเปลี่ยนจุด ทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงทะเลาะกัน ก่อนที่นายอำนาจจะหยิบแฟ้มเหล็กมาตีที่มือซ้ายของนายอุดร และผลักอกล้มลงกับพื้น จังหวะดังกล่าวนายอุดร หันไปมองเห็นมีดพร้าที่ใช้ดายหญ้าและตัดแต่งกิ่งวางอยู่บนโต๊ะในระดับสายตา จึงคว้ามีดดังกล่าวฟันไปที่มือขวาของนายอำนาจ ก่อนที่จะฟันซ้ำเป็นครั้งที่ 2 แต่ด้วยคนตายหันหลังจึงฟันเข้าที่ท้ายทอย จากนั้นก็ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ย้อนศรและหลบหนี ก่อนจะถูกจับกุมตัวได้ในเวลาต่อมา

ภายหลังเสร็จสิ้นการทำแผนประกอบรับคำสารภาพ นายอุดร กล่าวสั้น ๆ ว่า "ผมขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ และฝากขอโทษครอบครัวคนตาย ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้าย ขอโทษครับ"

ทีมข่าวยังสังเกตเห็นว่าช่วงที่มีการทำแผนประกอบรับคำสารภาพ ยังมีหลานสาวของนายอุดรคนก่อเหตุ ยืนดูการทำแผนอยู่ที่นอกรั้วโกดังที่เกิดเหตุ แต่ไม่ได้เข้ามาดูอย่างใกล้ชิด ซึ่งหลังการทำแผนทีมข่าวทราบว่าหลานสาวของนายอุดร คือคนที่ให้ที่พักพิงหลังจากที่ก่อเหตุ และเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาชุดสืบสวนก็ไปควบคุมตัวได้ที่หมู่บ้านของหลานสาวนายอุดร ซึ่งเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร 

หลานสาวของผู้ต้องหา เปิดเผยสั้น ๆ า “ไม่ทราบว่าลุงไปก่อเหตุฆ่าคนตายมา เขาก็ไม่ได้บอกอะไรให้ฟัง มีแต่ว่าขอมาพักอาศัยด้วย 1 คืน จึงไม่รู้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นบ้าง และในฐานะครอบครัวของผู้ต้องหา หนูฝากขอโทษไปยังครอบครัวของคนตายด้วย ซึ่งเชื่อว่าลุงไม่ได้มีเจตนา”

 

นางณัฐนันท์ ยะกิจ อายุ 47 ปี ภรรยาของนายอำนาจ กล่าวว่า ตนเพิ่งเดินทางมาจากจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนลูกสาวอายุ 20 ปี ก็เดินทางมาจากจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อที่จะเดินทางมาติดตามการทำแผนประกอบรับคำสารภาพในวันนี้ อยากรู้พฤติกรรมนายอุดร ที่ก่อเหตุทำร้ายสามีของตนจนถึงแก่ความตาย หลังจากการทำแผนเสร็จแล้ว ตนจะเดินทางไปติดต่อขอรับศพและกลับไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดในจังหวัดเพชรบูรณ์

สำหรับชนวนเหตุที่เกิดขึ้น ตนทราบว่าเป็นเรื่องของการแบ่งเวรการทำงานประจำจุดที่ไม่ลงตัว ก่อนหน้านี้สามีก็เคยโทรไปเล่าให้ฟังว่า มีปัญหาเรื่องการแบ่งเวรที่ไม่ชัดเจน ทำให้เคยทะเลาะกับนายอุดร แต่ตนก็ได้ห้ามสามีไปแล้วว่า "อย่าไปมีเรื่อง อย่าไปทะเลาะอะไรกับเขา กลัวว่าจะเป็นอันตราย" สามีก็รับปากและปฏิบัติตามที่ตนแนะนำมาโดยตลอด แต่ก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจริง ๆเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยมาก ๆ ทำไมถึงต้องฆ่ากันตาย เนื่องจากสามีเป็นเสาหลักหาเงินส่งลูกอายุ 20 ปีเรียนจนจบ

อย่างไรก็ตาม ก่อนวันเกิดเหตุเป็นช่วงเช้าหลังจากที่สามีลงเวรกลางคืน ตนได้มีโอกาสพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะเป็นลางบอกเหตุอะไร เพราะสามีบอกว่าต้องการจะไหว้พระขอพร และจะอาบน้ำเข้านอน แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องร้ายขึ้น ที่งนี้ตนจึงอยากจะให้นายอุดร รับโทษให้ถึงที่สุด เพราะไม่คิดว่าจะก่อเหตุรุนแรงขนาดนี้