แนวคิดเรื่อง "วันลาประจำเดือน" (Menstrual Leave) เป็นสิทธิในการลางานเมื่อมีอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง โดยมี 7 ประเทศที่มีการให้ สิทธิลาหยุดจากสาเหตุปวดท้องประจำเดือน มีกฎหมายหรือข้อกำหนดรองรับแล้ว
วันลาประจำเดือน (Menstrual Leave) คืออะไร?
วันลาประจำเดือน คือ สิทธิที่อนุญาตให้พนักงานที่ประสบกับ อาการปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea) หรืออาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรง สามารถลาหยุดงานได้ โดยอาจได้รับค่าจ้างหรือไม่ได้รับค่าจ้างก็ได้ ขึ้นอยู่กับกฎหมายหรือนโยบายของแต่ละองค์กร
การลาประเภทนี้มีจุดประสงค์เพื่อยอมรับว่า อาการปวดประจำเดือนที่รุนแรงนั้นเป็นภาวะสุขภาพ ที่อาจขัดขวางความสามารถในการทำงาน
งานวิจัยของ วารสารการแพทย์อังกฤษ (British Medical Journal - BMJ) เปิดเผยว่าผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 25 ปี ประมาณ 20% ต้องขาดเรียนหรือขาดงาน อันเนื่องมาจากอาการปวดประจำเดือน ขณะที่อีก 40 % พบว่าอาการดังกล่าวขัดขวางความสามารถในการมีสมาธิของพวกเธออย่างรุนแรง ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งของวิทยาลัยมหาวิทยาลัยลอนดอน (University College London) เคยระบุไว้เมื่อปี 2016 ว่า อาการปวดประจำเดือนอาจรุนแรงได้ "เทียบเท่ากับการเป็นโรคหัวใจวาย" (heart attack)
7 ประเทศที่มีกฎหมายหรือข้อกำหนดรองรับ "วันลาประจำเดือน"
ญี่ปุ่น (Japan) : ผู้บุกเบิกในเอเชีย
"วันลาประจำเดือน" หรือกฎหมายสิทธิลาประจำเดือนของญี่ปุ่นเรียกว่า "เซริคิวคะ" (Seiri Kyuka) มีมาตั้งแต่ปี 1947
แต่สัดส่วนการใช้สิทธิในปัจจุบันยังต่ำกว่า 1% เนื่องจากวัฒนธรรมการทำงานที่หนัก (Excessive work culture) และการตีตราทางสังคม (Social stigma)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้หญิงญี่ปุ่นได้เข้าสู่ตลาดแรงงานของประเทศด้วยจำนวนที่สูงเป็นประวัติการณ์ โดยทำงานในสถานที่ต่างๆ เช่น สถานีรถบัส เหมือง และโรงงาน ในช่วงเวลานั้น พนักงานเก็บค่าโดยสารหญิงของบริษัทรถบัสเทศบาลโตเกียวไม่สามารถเข้าถึงห้องน้ำได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเธอในการทำงานระหว่างที่มีประจำเดือนด้วยเหตุนี้ พนักงานเก็บค่าโดยสารและผู้หญิงในสหภาพแรงงานจึงเรียกร้องวันหยุดในช่วงมีประจำเดือน เพื่อที่พวกเธอจะได้ไม่ต้องลาออกจากงาน ด้วยผลที่ตามมา กฎหมายมาตรฐานแรงงาน ปี 1947 จึงได้บัญญัติมาตรการลาประจำเดือน สำหรับผู้มีประจำเดือน ภายใต้มาตรา 68 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตราดังกล่าวระบุว่า: "เมื่อสตรีผู้ซึ่งการทำงานในช่วงมีประจำเดือนเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง ได้ร้องขอวันหยุด นายจ้างต้องไม่อนุญาตให้สตรีผู้นั้นทำงานในวันที่มีประจำเดือน" แต่นโยบายนี้ได้รับความนิยมน้อยในกลุ่มผู้หญิงญี่ปุ่นนับตั้งแต่เริ่มบังคับใช้ในปี 1947 งานวิจัยที่จัดทำขึ้นในปี 1986 พบว่า ขณะที่ผู้หญิงญี่ปุ่น 20 % ใช้สิทธิดังกล่าวในปี 1960 ตัวเลขนี้ได้ลดลงเหลือเพียง 13 % ในปี 1981 อย่างไรก็ตาม บริษัทต่าง ๆ ไม่ได้ปฏิบัติตามนโยบายนี้บ่อยนัก จากการสำรวจนายจ้างเกือบ 6,000 แห่ง พบว่ามีพนักงานหญิงที่มีสิทธิได้รับวันลาประจำเดือนใช้สิทธินี้จริงเพียง 0.9% เท่านั้น
สาเหตุหลักที่อัตราการใช้สิทธิลาต่ำ มักเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมในการทำงาน
การตีตราทางสังคม (Social Stigma) : ผู้หญิงจำนวนมากรู้สึกละอายใจ หรือไม่สะดวกใจ ที่จะพูดคุยเรื่องประจำเดือนกับหัวหน้างาน ซึ่งมักเป็นผู้ชาย การขอลาเป็นการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องต้องห้าม วัฒนธรรมการทำงานหนัก (Intense Work Culture) : ในญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมการทำงานที่ให้ความสำคัญกับการทำงานล่วงเวลา (Overtime) และการแสดงความทุ่มเทอย่างเต็มที่ การลาหยุดใด ๆ (แม้จะเป็นสิทธิก็ตาม) อาจถูกมองว่าเป็นการ ขาดความมุ่งมั่น หรือ อ่อนแอความกลัวการเลือกปฏิบัติ (Fear of Discrimination) : การใช้สิทธินี้อาจทำให้ถูกมองว่า มีประสิทธิภาพน้อยกว่า หรือเป็นภาระในที่ทำงาน กระทบต่อโอกาสในการก้าวหน้าในอาชีพ หรืออาจถูกปฏิเสธการจ้างงานในอนาคตนโยบายที่ไม่ได้รับค่าจ้าง (Unpaid Leave) หรือเงื่อนไขที่ไม่ชัดเจน : กฎหมายญี่ปุ่นไม่ได้บังคับว่าวันลาประจำเดือนจะต้องได้รับค่าจ้าง ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัทการไม่ได้รับการสนับสนุนจากนายจ้าง : บางกรณี นายจ้างหรือเพื่อนร่วมงานชายไม่ได้ให้ความสำคัญหรือสนับสนุนนโยบายนี้ ทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่าสิทธิดังกล่าวเป็นเพียง "สิทธิเชิงสัญลักษณ์" ที่ไม่สามารถใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ
อินโดนีเซีย (INDONESIA)
ประเทศอินโดนีเซียมีนโยบายวันลาประจำเดือนมาตั้งแต่ปี 1948 นโยบายนี้ได้รับการปรับปรุงใหม่ในปี 2003 ภายใต้พระราชบัญญัติแรงงานฉบับที่ 13
นโยบายของประเทศนี้ให้สิทธิแก่ผู้หญิงในการลาหยุดงาน 2 วันต่อเดือน ในช่วงที่มีประจำเดือน โดยระบุว่าผู้หญิงไม่ควรทำงานในช่วง สองวันแรกของรอบเดือน อย่างไรก็ตาม องค์กรหลายแห่งในประเทศนี้ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว
เกาหลีใต้ (SOUTH KOREA)
กฎหมาย "วันลาประจำเดือน" ในประเทศเกาหลีใต้เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2001
นโยบายระบุว่าผู้หญิงจะได้รับวันหยุดงาน 1 วันต่อเดือน ในช่วงที่มีประจำเดือน ข้อดีอย่างหนึ่งของกฎหมายนี้คือ หากผู้หญิงเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิลา บริษัทควรจ่าย ค่าตอบแทนเพิ่มให้เธอเป็นเวลา 2 วัน แต่ผู้หญิงในเกาหลีใต้ ไม่สบายใจที่จะขอลาประจำเดือน เนื่องจากการตีตราทางสังคม ที่เกี่ยวข้องกับการพูดคุยเรื่องประจำเดือน จากการสำรวจในปี 2018 (ตามบทความใน WION) แสดงให้เห็นว่ามีผู้หญิงใช้สิทธิลาหยุดงาน เพียง 19 % ซึ่งถือว่าสูงกว่าประเทศญี่ปุ่น ผู้หญิงส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงการใช้สิทธิลาในช่วงมีประจำเดือน เนื่องจากสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ เข้มงวดและเป็นแบบดั้งเดิม
ไต้หวัน (TAIWAN)
นโยบาย "วันลาประจำเดือน" ในไต้หวันได้รับสิทธิภายใต้ กฎหมายความเท่าเทียมทางเพศในการจ้างงานของไต้หวัน (The Gender Equality in Employment Law of Taiwan) กฎหมายนี้เริ่มใช้ในปี 2002
นโยบายนี้ให้วันลา 3 วัน โดยได้รับ ค่าจ้างครึ่งหนึ่ง (half-salary) หากลาเกิน 3 วัน จะถูกนับเป็นวันลาป่วย (sick leave) แต่สิ่งที่ทำให้นโยบายวันลาประจำเดือนของไต้หวันแตกต่างคือ การให้วันลา 3 วันต่อปี โดยเพิ่มจากวันลาป่วยปกติ ต่อปี แต่ไม่ได้ให้สิทธิเป็นรายเดือน ทั้งนี้ นโยบายก่อนหน้าเคยนับวันลาประจำเดือนรวมอยู่ในโควต้าวันลาป่วยทั่วไป
เวียดนาม (VIETNAM)
ในช่วงแรก ที่ผู้คนเริ่มพูดคุยเรื่องประจำเดือนอย่างเปิดเผย มีการอนุญาตให้พนักงานหญิงหยุดงานได้ 30 นาที ในช่วงที่มีประจำเดือน แต่ต่อมาพบว่ามาตรการดังกล่าว ไม่มีประสิทธิภาพ
ต่อมาในปี 2020 ได้มีการผ่านกฎหมายที่ระบุว่าพนักงานหญิงจะได้รับ วันลาแบบได้รับค่าจ้าง 3 วันต่อเดือน ในช่วงที่มีประจำเดือนองค์กรต่าง ๆ ถูกกำหนดให้จ่ายค่าชดเชยเพิ่ม ขึ้นให้กับผู้หญิง หากพวกเธอตัดสินใจที่จะไม่ใช้สิทธิหยุดงาน
แซมเบีย (ZAMBIA)
"วันลาประจำเดือน" ในประเทศแซมเบียมีชื่อเรียกว่า "วันแม่" (Mother’s Day) นโยบายนี้อนุญาตให้พนักงานหญิงสามารถลาหยุดงานได้ 1 วันต่อเดือน ในช่วงที่มีประจำเดือน
นโยบายนี้เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2015 หากนายจ้างไม่อนุญาตให้ลา ผู้หญิงในแซมเบีย สามารถฟ้องร้องนายจ้างได้ นอกจากนี้ พนักงานหญิง ไม่ควรถูกสอบถาม เกี่ยวกับเหตุผลในการลาประจำเดือนภายใต้นโยบายนี้ ในประเทศแซมเบีย นโยบายนี้มีผลบังคับใช้แม้กับผู้หญิงที่ยังไม่มีบุตร (This policy is applicable for women who do not have children.)
สเปน (Spain) : ประเทศแรกในยุโรป
สเปนเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ผ่านกฎหมายนี้ในปี 2023 ได้อนุมัติ "วันลาประจำเดือน" สำหรับผู้ที่มีอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง
ผู้หญิงสเปนสามารถลาหยุดงานได้ 3 วันต่อเดือน โดยรัฐเป็นผู้จ่ายค่าจ้างให้ หากพวกเขามีอาการปวดเกร็ง (cramps), คลื่นไส้, เวียนศีรษะ, หรืออาเจียน ในกรณีที่มีอาการรุนแรงมาก สามารถขยายวันลาออกไปได้ถึง 5 วัน นโยบายนี้รับประกันว่าจะเป็น วันลาแบบได้รับค่าจ้าง (Paid Leaves) โดยหากผู้หญิงต้องการลา จะต้องมี ใบรับรองแพทย์ และ ระบบประกันสังคมสาธารณะจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย (ค่าจ้าง) ตามกฎหมายระบุว่า ข้อบังคับใหม่นี้จะช่วย ขจัดความเข้าใจผิดและอคติที่มีมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับประจำเดือน ซึ่งส่งผลกระทบในแง่ลบต่อชีวิตของผู้หญิง
ในขณะที่ประเทศไทย วันที่ 24 กันยายน 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีเอกฉันท์ รับหลักการ ร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 2 ฉบับ ซึ่งมีหนึ่งในเนื้อหาทั้งหมดมีการเสนอให้ลูกจ้างหญิงมีสิทธิลาเนื่องจากมีประจำเดือนได้เดือนละไม่เกิน 3 วัน โดยไม่นับเป็นวันลาป่วย
อ้างอิง : weforum , independent , bpr , globalwomanleader