8 แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมในเชียงใหม่ ที่จะถูกนำเสนอเป็นมรดกโลก ให้เป็นความภาคภูมิใจของชาวเชียงใหม่และคนไทย
แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมเชียงใหม่ กำลังจะถูกผลักดันให้เป็นมรดกโลก หลังเชียงใหม่เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยว ในนามแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและประเพณีที่งดงามของประเทศไทย ซึ่งมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา ที่กำลังจะมีอายุครบ 730 ปี ในปี พ.ศ. 2569 ที่จะถึงนี้
การนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่เป็นมรดกโลก จะถูกนำเสนอภายใต้ชื่อ อนุสรณ์สถานแหล่งต่าง ๆ และภูมิทัศน์วัฒนธรรมของเชียงใหม่ นครหลวงล้านนา โดยกำหนดเกณฑ์การพิจารณา คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลเพื่อนำเสนอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก ตามเกณฑ์ ข้อ 2 และข้อ 3 ดังนี้
เกณฑ์ข้อ 2 แสดงถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนคุณค่าของมนุษย์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือในพื้นที่วัฒนธรรมใด ๆ ของโลกผ่านการพัฒนาด้านสถาปัตยกรรมหรือทางเทคโนโลยี อนุสรณ์ศิลป์ การวางแผนบ้านเมือง หรือการออกแบบภูมิทัศน์
และเกณฑ์ข้อ 3 เป็นพยานหลักฐานที่ยอดเยี่ยมหรือหาที่เสมอเหมือนไม่ได้ของประเพณีวัฒนธรรมหรืออารยธรรมทั้งที่ยังคงอยู่หรือสูญหายไปแล้ว
โดยแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ที่นำเสนอ ประกอบไปด้วยแหล่งวัฒนธรรมที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมล้านนา จำนวน 8 แหล่ง ได้แก่
1. กำแพงเมืองและคูเมืองเชียงใหม่ เป็นประจักษ์พยานตั้งแต่แรกสร้างเมืองเชียงใหม่ และเหลือหลักฐานถึงปัจจุบัน สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนาอาณาจักรล้านนา ในรัชสมัยพญามังราย เพื่อเป็นเมืองหลวงของล้านนา คูเมืองเชียงใหม่ อดีตเป็นคูเมืองที่ใช้ป้องกันข้าศึก และยังเป็นแหล่งประมงและแหล่งน้ำสำหรับเมืองเชียงใหม่ ซึ่งน้ำในคูเมืองเป็นน้ำที่รับมาจากดอยสุเทพ ในปัจจุบัน เนื่องจากไม่มีกำแพงเมืองแล้ว จึงเรียกแนวกำแพงเมืองเชียงใหม่นี้อย่างเป็นทางการว่าคูเมือง กำแพงและคูเมืองเชียงใหม่ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในปี พ.ศ. 2478 โดยในปี พ.ศ. 2491 กำแพงเมืองเชียงใหม่มีสภาพทรุดโทรมลงอย่างมาก บางแห่งเป็นซากปรักหักพัง ทั้งยังมีวัชพืชขึ้นรกบดบังทัศนียภาพของคนที่อยู่นอกกำแพงเมือง ทางเทศบาลนครเชียงใหม่จึงได้เริ่มรื้อกำแพงออก เพื่อสร้างถนนและเส้นทางคมนาคมในตัวเมืองเชียงใหม่ ส่วนอิฐจากกำแพงเมืองที่ถูกรื้อนั้นได้ถูกนำไปสร้างรั้วของค่ายกาวิละ
2. วัดเชียงมั่น วัดแห่งแรกของเมืองเชียงใหม่ ที่เก่าแก่ที่สุดในตัวเมืองเชียงใหม่ มีมาตั้งแต่สมัยแรกสร้างเมือง เมื่อ พ.ศ. 1839 โดยพญามังราย ได้ทรงยกพระตำหนักเชียงมั่นถวายเป็นพระอาราม ให้ชื่อว่า วัดเชียงมั่น และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ช้างล้อม บริเวณพื้นที่หอประทับของพระองค์
ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญของเชียงใหม่ ได้แก่ พระเสตังคมณี หรือ พระแก้วขาว และพระศิลา ปางทรมานช้างนาฬาคีรี โดยพระแก้วขาวนั้นเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ของพระนางจามเทวีแห่งแคว้นหริภุญชัย และเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวเชียงใหม่ ส่วนพระอุโบสถมีความสำคัญต่อชาวเชียงใหม่ เป็นอย่างยิ่ง เพราะในโถงด้านหน้ามีศิลาจารึกวัดเชียงมั่น บันทึกเรื่องราวการสร้างเมืองเชียงใหม่ และประวัติของวัดแห่งนี้ ตลอดจนการทำนุบำรุงวัดโดยพระราชวงศ์
3. วัดเจดีย์หลวง มีเจดีย์ทรงปราสาทยอดขนาดใหญ่ที่สุดของอาณาจักรล้านนา เป็นพระอารามหลวงในจังหวัดเชียงใหม่ มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ราชกุฏาคาร วัดโชติการาม สร้างขึ้นในรัชสมัยพญาแสนเมืองมา กษัตริย์รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ไม่ปรากฏปีที่สร้างแน่ชัด สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้น่าจะสร้างราวปีพุทธศักราช 1928 ถึง 1945 และมีการบูรณะมาหลายสมัย เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตในสมัยพญาแก้ว
วัดเจดีย์หลวงสร้างอยู่กลางใจเมืองเชียงใหม่ ซึ่งแต่เดิมถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการปกครองของอาณาจักรล้านนา ตั้งอยู่เลขที่ 103 ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ภายในวัดประมาณ 32 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานสำหรับชาติ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 0ง วันที่ 8 มีนาคม 2478 พร้อมกับวัดอีกหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่
4. วัดพระสิงห์ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของล้านนา ถือเป็นตัวแทนของวัดในวัฒนธรรมล้านนาที่มีองค์ประกอบของวัดครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด ตั้งอยู่ในกลางเมืองเชียงใหม่ บนถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานกว่า 655 ปี เดิมชื่อ วัดลีเชียงพระ หมายถึง วัดที่ตั้งใกล้ตลาดกลางเมือง ในสมัยกษัตริย์ลำดับที่ 8 แห่งราชวงศ์มังราย ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐาน จึงเรียกว่า วัดพระสิงห์
ได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ประเภทวรมหาวิหาร โบราณสถานภายในวัด ได้แก่ พระอุโบสถ วิหารลายคำวิหารหลวง หอไตร รวมถึงภาพจิตรกรรมที่อยู่ภายในล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่า วัดแห่งนี้จึงเป็นสถานที่รวบรวมตัวอย่างงานศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมสมัยล้านนามากที่สุดแห่งหนึ่ง ตามคติของชาวล้านนากำหนดให้เป็นวัดประจำปีนักษัตรมะโรง โดยพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปที่เชื่อกันว่าได้นำความอุดมสมบูรณ์และฝนตกต้องตามฤดูกาลให้กับอาณาจักรล้านนา ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานสำหรับชาติเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 และได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483
5. วัดบุปผาราม (วัดสวนดอก) เป็นวัดที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของอาณาจักรล้านนาและอาณาจักรสุโขทัย ทั้งระบบแบบแผนผังและงานศิลปกรรมที่มีอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย และศิลปะพุกาม ที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะลังกา เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างขึ้นในภายในเวียงสวนดอก ซึ่งเป็นเขตพระราชอุทยานในสมัยราชวงศ์มังราย โดยในปี พ.ศ. 1914 พญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่ง ราชวงศ์มังราย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นพระอารามหลวง เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของ "พระสุมนเถระ" ผู้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ในแผ่นดินล้านนา
วัดสวนดอก ได้รับการบูรณะครั้งสำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2450 เจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญรวบรวมพระอัฐิ เจ้านครเชียงใหม่และพระประยูรญาติมาประดิษฐานรวมกัน และต่อมาอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2475 เป็นการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระวิหารโดยครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา และได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานสำหรับชาติ วันที่ 8 มีนาคม 2478
6. วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม มีเจดีย์ทรงระฆังต้นแบบของล้านนา ได้รับอิทธิพลจากศิลปะพุกามที่ยังรักษารูปแบบไว้ได้มากที่สุดเพียงองค์เดียว เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ พญามังราย พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา ทรงสร้างวัดแห่งนี้ขึ้น เพื่อใช้เป็นที่พำนักของคณะสงฆ์ที่เชิญมาจากเกาะลังกา โดยมีชื่อว่าวัดเวฬุกัฏฐาราม หรือ วัดไผ่สิบเอ็ดกอ เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไผ่
วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม ได้รับการบูรณะและเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง จนกระทั่ง พ.ศ. 2492 เจ้าชื่น สิโรรส ได้เข้ามาฟื้นฟูสถานที่แห่งนี้อีกครั้งภายใต้แรงบันดาลใจจากสวนโมกขพลารามของพุทธทาสภิกขุ และตั้งชื่อใหม่ว่า วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานสำหรับชาติ วันที่ 8 มีนาคม 2478 เป็นทั้งสถานที่ปฏิบัติธรรมที่สงบเงียบ และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเชียงใหม่ เต็มไปด้วยมนต์ขลังและกลิ่นอายของประวัติศาสตร์
7. วัดพระธาตุดอยสุเทพ มีเจดีย์ที่สร้างอยู่บนยอดเขาเปรียบเสมือนเจดีย์จุฬามณีที่อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันเป็นรูปแบบหนึ่งของพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง และเป็นต้นแบบของเจดีย์ทรงระฆังแบบล้านนาตอนปลาย ที่นิยมสร้างในเมืองเชียงใหม่ และลำพูน กำหนดเรียกเป็น สกุลช่างเชียงใหม่ เป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นวัดประจำปีเกิด สำหรับผู้ที่เกิดปีมะแม
เป็นวัดที่มีประวัติยาวนาน ตั้งแต่การอัญเชิญพระธาตุมาประดิษฐานบนยอดเขาเมื่อปี พ.ศ. 1927 หลังจากนั้นได้มีการก่อสร้างพระเจดีย์ครอบองค์พระธาตุ สร้างพระอุโบสถและบันไดนาค ตลอดจนสร้างเส้นทางขึ้นสู่วัดโดยพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาหลายท่านและเจ้าเมืองในแต่ละยุคจนถึง พ.ศ. 2547 กรมศิลปากรได้เข้ามาบูรณะครั้งใหญ่พร้อมปรับปรุงบริเวณลานพระเจดีย์ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลาถึง 6 ปีจึงแล้วเสร็จ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานสำหรับชาติ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 0ง วันที่ 8 มีนาคม 2478 พร้อมกับวัดอีกหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่
8. วัดมหาโพธาราม หรือ วัดเจ็ดยอด เป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ทางหลวงซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง วัดที่พระเจ้าติโลกราชโปรดให้ช่างไปถ่ายแบบมาจากมหาวิหารที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย ใช้เป็นสถานที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช เมื่อปี พ.ศ.2020 นับเป็นครั้งแรกของดินแดนไทย ใช้เวลาหนึ่งปีจึงสำเร็จ
ถือเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญมากในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนทั้งอดีตและปัจจุบัน ด้วยมีสถาปัตยกรรมอันสง่างาม ทรงยอดปรางค์แบบพุทธคยาอินเดียมีอยู่เจ็ดยอดด้วยกัน และมีลายปูนปั้นที่ฐานพระเจดีย์ รูปเทวดายืนและนั่ง เรียงรายโดยรอบเป็นการคุ้มครองปกป้องรักษาสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานสำหรับชาติ วันที่ 8 มีนาคม 2478
Advertisement