"รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" สุภาษิตไทยที่อาจถึงคราวต้องโบกมือลา? หลังมีกฎหมายใหม่คุ้มครองเด็ก ห้ามตีลูก เปลี่ยนแนวคิดสู่การเลี้ยงดูเชิงบวก
หลังจากที่ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 หรือ กฎหมายห้ามตีเด็ก ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งประเด็นสำคัญของกฎหมายนี้ คือ การทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรมหรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกายหรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ กฎหมายฉบับนี้มุ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิเด็กและห้ามใช้ความรุนแรงต่อเด็ก ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาสิทธิเด็กในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในแนวคิดของสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองเด็กและส่งเสริมการเลี้ยงดูที่ปราศจากการใช้ความรุนแรง อีกทั้งยังเป็นการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเป็นธรรมสำหรับเด็กทุกคน
ย้อนไปในปี 2562 สำนักงานสถิติแห่งชาติ เคยเผยแพร่ ผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย (Multiple Indicators Cluster Survey : MICS) พบว่าผู้ปกครองร้อยละ 58 เชื่อว่าการลงโทษเด็กทางร่างกายเป็นเรื่องจำเป็นในการเลี้ยงดูเด็ก ส่งผลให้เกิดการลงโทษทางกายและคำพูดที่รุนแรงจนสร้างบาดแผลในจิตใจต่อเด็กในระยะยาว
สำหรับกฎหมายใหม่นี้ อาจขัดกับความเชื่อและสุภาษิตโบราณที่คนไทยต่างคุ้นเคยมาช้านานอย่าง "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" ที่หมายความว่า รักลูกต้องหมั่นอบรมสั่งสอนลูกและเอาใจใส่เสมอ และทำโทษลูกเมื่อทำผิด หรือว่านี่ถึงคราวแล้วที่สุภาษิตนี้จะเลือนหายไปจากสังคมไทย
ทั้งนี้ การเปลี่ยนค่านิยมในการลงโทษลูกด้วยการเฆี่ยนตีไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย ย้อนไปในปี 2555 คณะกรรมการการศึกษาปฐมวัยแห่งชาติ มีมติเห็นชอบเปลี่ยนสุภาษิตที่ว่า "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" เป็น "รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด" เพื่อหวังเปลี่ยนค่านิยมสร้างความอบอุ่น และเพื่อใช้เป็นนโยบายยุทธศาสตร์การศึกษาปฐมวัย แต่ได้รับการคัดค้านจากราชบัณฑิตยสถานและนักวิชาการบางส่วนว่า เป็นเรื่องแปลกประหลาด สุภาษิตคำพังเพยเป็นคำโบราณที่มีมานานแล้ว ไม่ควรเปลี่ยนแต่ควรสร้างคำใหม่ หรือเปลี่ยนค่านิยมมากกว่าจะไปเปลี่ยนคำที่มีอยู่แล้ว
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้รณรงค์ให้ผู้ปกครองและสังคมปรับแนวคิดเลี้ยงดูเด็กให้เป็นการเลี้ยงดูเชิงบวก โดยมุ่งพัฒนาทักษะให้เหมาะสมตามวัย ไม่ใช้ความรุนแรงที่มาจากความเชื่อ "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" ซึ่งมีส่วนสร้างบาดแผลในจิตใจต่อเด็กในระยะยาว การเลี้ยงลูกเชิงบวกเพราะจะทำให้เด็กรับมือกับปัญหา กล้าคิด กล้าถาม และกล้าทำ สามารถใช้ศักยภาพที่มีบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ สร้างสุขภาวะ และมีศักยภาพช่วยพัฒนาสังคมในทิศทางที่ดีได้
วัยเด็กเป็นวัยแห่งการสร้างฐานทุนสุขภาพตลอดช่วงชีวิต (Life Long Health) เป็นโอกาสทองที่จะพัฒนาทักษะชีวิต ช่วงที่เหมาะสมคือ อายุ 0-6 ปี เพราะสร้างให้มีสุขภาวะดีรอบด้านได้ง่ายกว่า ผู้ปกครองควรปรับตัวเลี้ยงดูลูกให้เหมาะสมกับโลกยุคใหม่ ต้องพัฒนาแนวคิดและทักษะการเลี้ยงดูลูกให้เชื่อมโยงสู่สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในชุมชนจนเกิดเป็นสภาวะที่เหมาะสมในการพัฒนาเด็กทั้ง 4 มิติ ได้แก่ (Head-Heart-Hand-Health)
กิจกรรมพัฒนาสมอง (Head) หมายถึง กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาทักษะการคิด เพื่อให้ผู้เรียนมีความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า ตัดสินใจ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
กิจกรรมพัฒนาจิตใจ (Heart) หมายถึง กิจกรรมส่งเสริม พัฒนา และปลูกฝังค่านิยม คุณธรรมจริยธรรม การทำประโยชน์เพื่อสังคม เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์จนเป็นลักษณะนิสัย และมีจิตสำนึกที่ดีต่อตนเองและส่วนรวม
กิจกรรมพัฒนาทักษะการปฏิบัติ (Hand) หมายถึง กิจกรรมสร้างเสริมทักษะการทำงาน ทักษะทางอาชีพที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนค้นพบความสามารถ ความถนัด และศักยภาพของตนเอง
กิจกรรมพัฒนาสุขภาพ (Health) หมายถึง กิจกรรมสร้างเสริมสุขภาวะเพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะทางกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง มีเจตคติที่ดีต่อการดูแลสุขภาพ และมีทักษะปฏิบัติด้านสุขภาพจนเป็นนิสัย
การเลี้ยงดูลูกด้วยพลังบวก คือ การใช้ความรัก ความไว้วางใจ การให้โอกาส เเละส่งเสริมการเรียนรู้ สามารถลองนำไปปรับใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมของเเต่ละบ้าน จะช่วยให้เกิดสายสัมพันธ์ที่เเนบเเน่นในครอบครัว ซึ่งหัวใจสำคัญคือต้องอยู่บนหลักการ 9 ข้อ ดังนี้
1.เอาใจเด็กมาใส่ใจเรา ค้นหาให้เจอว่าอะไรทำให้เด็กงอเเง ดื้อ
2.เเสดงอาการตอบสนอง เพื่อให้เด็กรับรู้ว่าเรากำลังสนใจความรู้สึกของเด็ก
3.ยอมรับว่าอารมณ์หงุดหงิดเเละการทำพลาดเป็นส่วนหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก
4.รับรู้เเละชื่นชมในความสามารถของเด็ก หรือเมื่อเด็กทำสิ่งที่ดี
5.ตั้งกฎ กติกาให้สอดคล้องกับวัย เเละทำให้ได้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
6.หาจุดสมดุลให้เจอระหว่างชีวิตส่วนตัวเเละชีวิตการเป็นพ่อเเม่
7.ใช้เวลาอยู่กับเด็กอย่างมีคุณภาพ เพื่อสร้างสายใยรักเเละผูกพันต่อกัน
8.เท่าทันอารมณ์ตัวเอง เเละหมั่นตรวจสอบความรู้สึก อย่าเอาอารมณ์ไปลงกับเด็ก
9.ขอความช่วยเหลือเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิด เเละหาความรู้ตลอดเวลาในการดูเเลเด็กอย่างถูกวิธี
วันนี้สุภาษิต "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" อาจจะยังไม่ต้องถึงขั้นถูกลบให้เลือนหายไปจากสังคมไทย เพราะคำว่า "ตี" ในยุคนี้อาจไม่ได้หมายถึงการเฆี่ยนตีด้วยไม้เรียว คำพูดของพ่อแม่ก็อาจเป็นไม้เรียวชนิดหนึ่ง ที่ช่วยอบรมสั่งสอนลูกให้เคารพกฎกติกา มารยาททางสังคม ว่ากล่าวตักเตือนเมื่อเขาทำผิด ให้อภัยเมื่อลูกทำพลาด ยกย่องเมื่อเขาทำดี
การเลี้ยงลูกเชิงบวก จึงเป็นการเลี้ยงลูกที่สอดคล้องกับการพัฒนาจิตใจด้านดีของมนุษย์ บ้านที่เลี้ยงลูกด้วยความรัก ผ่านถ้อยคำที่ดีต่อกัน ผ่านการเลี้ยงลูกที่ไม่ใช้ความรุนแรง บ้านที่ปลอดภัย จะช่วยให้เด็กมีรากฐานทางจิตใจ อารมณ์ สังคมที่ดี ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองนับว่าเป็นเพื่อนแท้คนแรกในชีวิตของเด็ก และเป็นส่วนสำคัญที่คอยสร้างอนาคตให้เติบโตขึ้นมาเป็นบุคคลคุณภาพให้กับประเทศ
Advertisement