
นพ.เอกพล ลาภอำนวยผล ศัลยแพทย์กระดูกและข้อชำนาญการด้านโรคกระดูกสันหลัง ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดขยายโพรงเส้นประสาทผ่านกล้อง microscope หรือ endoscope ซึ่งทำให้แผลมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Canal Stenosis) คือภาวะที่ช่องโพรงภายในกระดูกสันหลัง ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องไขสันหลังและเส้นประสาท เกิดการตีบแคบลงจากความเสื่อมของโครงสร้างภายใน เช่น หมอนรองกระดูก เส้นเอ็น และข้อต่อ ทำให้เส้นประสาทถูกกดทับจนเกิดอาการปวด ชา หรืออ่อนแรงในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณเอวและขา
โรคนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และเป็นสาเหตุสำคัญของ “อาการปวดหลังเรื้อรัง” ที่ไม่ควรมองข้าม หากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ชำนาญการด้านโรคกระดูกสันหลังตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจนำไปสู่ภาวะอ่อนแรงถาวรหรือสูญเสียการเคลื่อนไหวได้
สาเหตุหลักมักเกิดจาก ความเสื่อมของกระดูกสันหลัง ที่เกิดขึ้นตามวัย โดยมีปัจจัยร่วมดังนี้
• หมอนรองกระดูกเสื่อม (Degenerative Disc Disease) ทำให้หมอนรองกระดูกยุบตัวและเคลื่อนเข้ามากดทับโพรงประสาท
• ข้อต่อกระดูกสันหลังหนาตัว (Facet Joint Hypertrophy) การเสื่อมของข้อต่อทำให้เกิดกระดูกงอกมากดเบียดโพรง
• เส้นเอ็นหนาตัว (Ligamentum Flavum Thickening) เมื่อเส้นเอ็นหนาตัวมากขึ้น จะเบียดพื้นที่ในโพรงกระดูกให้แคบลง
• ภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis) กระดูกสันหลังเลื่อนมาด้านหน้า ทำให้ช่องโพรงแคบลงและเกิดการกดทับ
• สาเหตุอื่น ๆ เช่น อุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือความผิดปกติแต่กำเนิดของกระดูกสันหลัง
ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีอาการแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความรุนแรงของการกดทับเส้นประสาท โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่
• ปวดหลังส่วนล่าง หรือปวดร้าวลงขา
• ปวดสะโพกหรือขาเมื่อเดินนาน ๆ
• อาการปวดมากขึ้นเมื่อแอ่นตัวไปด้านหลัง และดีขึ้นเมื่อก้มตัวไปข้างหน้า
• ชา อ่อนแรง หรือรู้สึกเหมือนขาหนัก
• ในบางรายอาจมีอาการ ขาไม่มีแรงจนเดินไม่ไกล หรือเดินแล้วต้องหยุดพักบ่อย ๆ
• หากปล่อยไว้นาน อาจเกิดภาวะกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องพบแพทย์ทันที
แพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจร่างกายร่วมกับการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น
• X-ray (เอกซเรย์กระดูกสันหลัง): ใช้ดูแนวกระดูกและข้อต่อที่อาจผิดรูป
• MRI (Magnetic Resonance Imaging): แสดงรายละเอียดของโพรงประสาท หมอนรองกระดูก และเส้นประสาทได้อย่างชัดเจน
• CT Scan: ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถทำ MRI ได้ เพื่อดูโครงสร้างกระดูกอย่างละเอียด
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและอาการของผู้ป่วย โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
• เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่อาการยังไม่รุนแรง
• การทำกายภาพบำบัดเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง
• การรับประทานยาแก้ปวดหรือยาคลายกล้ามเนื้อ
• การฉีดยาลดอักเสบเฉพาะที่เพื่อบรรเทาอาการ
• การปรับพฤติกรรม เช่น หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรืออยู่ในท่าที่แอ่นหลังนาน ๆ
การรักษาแบบผ่าตัด
• กรณีที่อาการรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้น แพทย์อาจพิจารณาแนวทางผ่าตัด เช่น
• การผ่าตัดขยายโพรงเส้นประสาท (Decompression Surgery) เพื่อคลายแรงกดทับเส้นประสาท
• การผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลัง (Spinal Fusion) เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กระดูกสันหลังในรายที่มีกระดูกเคลื่อนร่วมด้วย
• ออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องอย่างสม่ำเสมอ
• ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
• หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือการนั่งในท่าเดิมนาน ๆ
• หากมีอาการปวดหลังเรื้อรังหรือปวดร้าวลงขา ควรรีบพบแพทย์ชำนาญการด้านโรคกระดูกสันหลัง
Advertisement