“ภาวะหมดไฟ” แรงขับชีวิตที่มอดดับ ความมืดมิดทางอารมณ์ ย่อมส่งผลกระทบต่อทั้งตัวเรา ครอบครัว และสังคม หากปล่อยไว้โดยไม่จัดการ อาจนำไปสู่การสูญเสียพลังชีวิตและความสุขในชีวิตประจำวันอย่างถาวร
“ภาวะหมดไฟ” หรือ Burnout กำลังกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามคนไทยยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงความเหนื่อยล้าจากการทำงาน แต่เป็นสิ่งที่ค่อย ๆ บั่นทอนคุณภาพชีวิตและจิตใจอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการดูแลทันที อาจนำไปสู่ โรคซึมเศร้า, โรคเครียดเรื้อรัง, โรคนอนไม่หลับ
องค์การอนามัยโลก (WHO) รับรองว่า “ภาวะหมดไฟ” เป็น “โรคใหม่ของยุคสมัย” โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เร่งรีบและกดดัน จนทำให้รู้สึกไร้พลังและและถลำลึกสู่ความมืดมิดทางอารมณ์ แนวโน้มผู้ประสบ “ภาวะหมดไฟ” เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2566 โดยเฉพาะช่วงที่สังคมกลับมาทำงานที่ออฟฟิศหลัง โควิด-19
กลุ่มที่น่าจับตา
กลุ่มอายุ 22–28 ปี หรือ Gen Z ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน
จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยที่มีภาวะหมดไฟมากกว่า 50% เป็นวัยทำงาน และที่น่าตกใจคือ ประชากรวัย Gen Z ราว 65% เคยรู้สึกเบื่อหน่ายและขาดแรงขับเคลื่อนในชีวิต ขณะที่คนไทยราว 15% มีความเครียดสูง ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มหมดไฟ ซึ่งในความเป็นจริงจำนวนผู้ป่วยจะสูงกว่านี้มาก แต่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าเปิดเผยปัญหาทางจิตใจ และไม่ยอมรับว่าตัวเองกำลังถูก “ภาวะหมดไฟ” กลืนกิน
สถิติ | ||
---|---|---|
มากกว่า 50% เป็นวัยทำงาน ที่มีภาวะหมดไฟ | ||
65% เป็นกลุ่มวัย Gen เคยรู้สึกเบื่อหน่ายและขาดแรงขับเคลื่อนในชีวิต | ||
15% เป็นคนไทยทั่วไป มีความเครียดสูง |
นพ.ธนานันต์ นุ่มแสง จิตแพทย์ โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า “ภาวะหมดไฟ” เกิดจาก
หลายคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังหมดไฟ เพียงแค่รู้สึกเบื่อหน่าย ขาดความสุขกับสิ่งที่ทำ และเมื่อไม่ได้รับการยอมรับหรือโอกาสที่สอดคล้องกับคุณค่าในใจ แรงผลักดันก็จะค่อย ๆ สูญไป จนอาจทำให้ชีวิตตกอยู่ในวงจรความทุกข์ที่ยากจะถอนตัว
ภาวะหมดไฟเกิดจากปัจจัยหลายมิติ ดังนี้
สังเกตได้คือ
Advertisement