โรคพิษสุนัขบ้า หรือ โรคกลัวน้ำเป็นโรคติดต่อที่อันตรายถึงชีวิต เกิดจากเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
โรคพิษสุนัขบ้าติดต่อสู่คนได้จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นโรค โดยเชื้อไวรัสจะอยู่ในน้ำลายของสัตว์ และเข้าสู่ร่างกายคนผ่านทางบาดแผลหรือรอยขีดข่วน รวมถึงการถูกเลียที่ผิวหนังที่มีรอยถลอกหรือถูกกัด โดย 96% ของผู้ที่เสียชีวิตเกิดจากไม่ได้รับวัคซีนหลังการสัมผัสโรค
สัตว์ที่เป็นพาหะหลักในประเทศไทย: สุนัข และแมว
สัตว์อื่น ๆ ที่อาจเป็นพาหะได้: ค้างคาว, ลิง, กระรอก, ชะมด, และสัตว์ป่าอื่น ๆ
อาการของโรคจะปรากฏหลังจากได้รับเชื้อแล้ว ซึ่งระยะเวลาการแสดงอาการจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับและบริเวณที่ถูกกัด
อาการในระยะแรก: มีไข้, ปวดศีรษะ, อ่อนเพลีย, คันหรือปวดบริเวณที่ถูกกัด
อาการในระยะหลัง
อาการชนิดคลุ้มคลั่ง: หงุดหงิด, กระสับกระส่าย, กลัวน้ำ (hydrophobia), กลัวลม, กล้ามเนื้อกระตุก, ชัก และมีอาการอัมพาต
อาการชนิดอัมพาต: มักไม่แสดงอาการกลัวน้ำ แต่จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและเป็นอัมพาตตามมา ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
เมื่อผู้ป่วยแสดงอาการของโรคแล้ว โอกาสรอดชีวิตมีน้อยมาก
การป้องกันที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงการถูกสัตว์กัด ข่วน หรือเลียบาดแผล ไม่คลุกคลีกับสัตว์ที่ไม่คุ้นเคย นำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเป็นประจำทุกปี โดยลูกสุนัขเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน หากคุณถูกสัตว์กัด ข่วน หรือเลีย ควรรีบปฏิบัติ ดังนี้
- ทำความสะอาดแผลทันที ใช้สบู่และน้ำสะอาดล้างแผลหลายๆ ครั้ง อย่างน้อย 15 นาที
- ใส่ยาฆ่าเชื้อ ใช้แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ไอโอดีนใส่รอบๆ แผลเพื่อฆ่าเชื้อ
- จดจำลักษณะสัตว์ที่กัด และกักขังไว้เป็นเวลา 10 วัน เพื่อสังเกตอาการบ้า
- รีบไปพบแพทย์โดยด่วน แม้แผลจะเล็กน้อยก็ควรไปพบแพทย์เพื่อพิจารณาการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า หรือวัคซีนป้องกันบาดทะยัก และหากเป็นไปได้ควรสังเกตอาการของสัตว์ที่กัดร่วมด้วย หากสัตว์เสียชีวิตหรือมีอาการผิดปกติควรรีบแจ้งแพทย์ทันที
Advertisement