ศูนย์จีโนมฯ รพ.รามาธิบดี ถอดบทเรียน หนุ่มลำปางเสียชีวิตบนรถทัวร์ สู่ความเข้าใจ "โรคแบคทีเรียกินเนื้อ" ภัยร้ายที่ต้องรู้ทัน
วันที่ 17 มิ.ย. 2568 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความให้ความรู้เกี่ยวกับ "โรคแบคทีเรียกินเนื้อ" สืบเนื่องจากข่าวสะเทือนใจ ชายวัย 38 ปี เสียชีวิตบนรถทัวร์ ผลการชันสูตรเบื้องต้นระบุถึง โรคแบคทีเรียกินเนื้อ ซึ่งนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง
ศูนย์จีโนมฯ รพ.รามาธิบดี ได้โพสต์ถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า "ถอดบทเรียน หนุ่มลำปางเสียชีวิตบนรถทัวร์ สู่ความเข้าใจ "โรคแบคทีเรียกินเนื้อ" ภัยร้ายที่ต้องรู้ทัน
ข่าวการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของชายชาวลำปางวัย 38 ปีบนรถทัวร์โดยสาร หลังเดินทางกลับจากการสมัครบวช ได้สร้างความสะเทือนใจและข้อสงสัยให้กับสังคมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อผลการชันสูตรเบื้องต้นจากแพทย์ ระบุถึงสาเหตุที่น่าตกใจว่าเกิดจาก "โรคแบคทีเรียกินเนื้อ" (Flesh-eating Disease) หรือ "โรคเนื้อเน่า" (Necrotizing Fasciitis) ซึ่งนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง กรณีศึกษานี้จึงเป็นอุทาหรณ์สำคัญที่ทำให้เราต้องหันมาทำความเข้าใจถึงภัยเงียบที่อันตรายถึงชีวิตนี้อย่างจริงจัง
เพื่อทำความเข้าใจถึงที่มาของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ การย้อนดูไทม์ไลน์สุขภาพของผู้เสียชีวิตในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเผยให้เห็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเชื่อมโยงกัน
• ปลายปี 2567: ผู้เสียชีวิตประสบอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ ได้รับบาดแผลจนต้องเย็บกว่า 30 เข็ม ซึ่งอาจเป็นช่องทางแรกที่เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ในอดีต
• มีนาคม 2568 : ตรวจพบว่าเป็นโรคงูสวัด มีอาการแก้วหูทะลุและปากเบี้ยว แม้จะรักษาจนอาการดีขึ้น แต่การเจ็บป่วยครั้งนี้อาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง
• มิถุนายน 2568 : ระหว่างเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ จ.นครราชสีมา เขาเริ่มมีอาการขาบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ จนพระอาจารย์แนะนำให้กลับมารักษาตัว
• 16 มิถุนายน 2568 : หลังจากขึ้นรถทัวร์เพื่อเดินทางกลับลำปางได้เพียงหนึ่งคืน ก็ถูกพบว่าเสียชีวิตบนรถ สภาพขาซ้ายมีอาการบวมและแผลลุกลามอย่างรวดเร็วจนน่าผิดสังเกต สร้างความติดใจสงสัยให้แก่ญาติถึงสาเหตุที่แท้จริง
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความรวดเร็วและรุนแรงของโรค ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของ "แบคทีเรียกินเนื้อ"
โรคเนื้อเน่า (Necrotizing Fasciitis) ไม่ได้เกิดจากแบคทีเรียที่ "กิน" เนื้อคนตามชื่อ แต่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดรุนแรง (เช่น Streptococcus pyogenes กลุ่ม A) ที่ปล่อยสารพิษออกมาทำลายเนื้อเยื่ออ่อนใต้ผิวหนัง ได้แก่ ชั้นไขมันและพังผืดที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว
เชื้อเหล่านี้มักเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล บนผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นแผลสดจากอุบัติเหตุ แผลผ่าตัด แผลไฟไหม้ หรือแม้กระทั่งรอยถลอกและแมลงกัดต่อยเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
การรู้ทันอาการของโรคเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาชีวิต เนื่องจากโรคนี้ลุกลามเร็วมาก หากมีบาดแผลและเกิดอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน
• ปวดรุนแรงและรวดเร็ว : มีอาการปวดบริเวณแผลอย่างรุนแรง ซึ่ง อาการปวดมักจะรุนแรงกว่าลักษณะของแผลที่เห็นภายนอกมาก นี่คือสัญญาณเตือนที่สำคัญที่สุด
• บวม แดง ร้อน : ผิวหนังรอบแผลมีอาการบวมแดงและร้อนอย่างรวดเร็ว และบริเวณที่บวมจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
• อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ : มีไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้
• ผิวหนังเปลี่ยนสี : ในระยะต่อมา ผิวหนังจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ มีตุ่มน้ำพุพอง และกลายเป็นเนื้อตายสีดำในที่สุด
• ภาวะช็อก : หากเชื้อลามเข้าสู่กระแสเลือด จะทำให้ความดันโลหิตตก อวัยวะล้มเหลว และเสียชีวิต
แม้จะน่ากลัว แต่เราสามารถลดความเสี่ยงของโรคนี้ได้ด้วยการป้องกันที่ดีที่สุด คือการดูแลสุขอนามัยและบาดแผลอย่างเคร่งครัด
1. ดูแลแผลอย่างถูกวิธี : เมื่อเกิดบาดแผล ให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทันที ทายาฆ่าเชื้อ และใช้พลาสเตอร์หรือผ้าก๊อซที่สะอาดปิดแผลไว้เสมอ พร้อมเปลี่ยนผ้าปิดแผลทุกวัน
2. หลีกเลี่ยงแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด : หากมีแผลเปิด ควรงดเว้นการลงน้ำในแม่น้ำ คลอง ทะเล หรือสระว่ายน้ำ จนกว่าแผลจะหายสนิท
3. สวมอุปกรณ์ป้องกัน : หากต้องทำงานที่เสี่ยงต่อการเกิดแผลหรือต้องลุยน้ำลุยโคลน ควรสวมรองเท้าบู๊ตและถุงมือป้องกัน
4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง : ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน โรคตับ หรือมะเร็ง ต้องระมัดระวังเรื่องบาดแผลเป็นพิเศษ
โรคแบคทีเรียกินเนื้อเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วนที่สุด การรักษาหลักประกอบด้วย
• การผ่าตัดอย่างเร่งด่วน (Surgical Debridement) : หัวใจของการรักษาคือการผ่าตัดเพื่อกำจัดเนื้อเยื่อที่ตายและติดเชื้อทั้งหมดออกไปให้เร็วที่สุด เพื่อหยุดยั้งการลุกลาม ซึ่งอาจต้องผ่าตัดซ้ำหลายครั้ง
• ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด : แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะประสิทธิภาพสูงทางหลอดเลือดเพื่อควบคุมการติดเชื้อในร่างกาย
• การดูแลในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) : ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการหนัก จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อพยุงการทำงานของอวัยวะต่างๆ
• การตัดอวัยวะ (Amputation) : ในกรณีที่รุนแรงและควบคุมไม่ได้ การตัดแขนหรือขาที่ติดเชื้อทิ้งไป อาจเป็นทางเลือกเดียวเพื่อรักษาชีวิต
กรณีของหนุ่มลำปางคือบทเรียนราคาแพงที่ย้ำเตือนว่า บาดแผลเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่คาดไม่ถึงได้ การใส่ใจดูแลบาดแผลอย่างถูกวิธี และการไม่ลังเลที่จะไปพบแพทย์เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ คือสิ่งที่จะช่วยปกป้องเราและคนที่เรารักจากภัยเงียบที่ร้ายแรงนี้ได้"
ข้อมูลจาก : Center for Medical Genomics
Advertisement