ทำความเข้าใจ จริงๆ แล้ว ถุงยางอนามัย ไม่ได้ทำมาจากพลาสติก เลือกขนาดถุงยางอนามัยอย่างไร ให้เหมาะสมกับผู้ใช้
ถุงยางอนามัย (Condom) เป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่นๆ ใช้สวมอวัยวะเพศชายในขณะร่วมเพศ เพื่อป้องกันน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด เป็นการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
ถุงยางอนามัยส่วนใหญ่ที่เราเห็นและใช้กันทั่วไปทำมาจากวัสดุหลักๆ 2 ชนิด คือ
ยางธรรมชาติ (Natural Rubber Latex):
ยางธรรมชาติผลิตจากน้ำยางพารา ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก เป็นวัสดุที่นิยมใช้มากที่สุดในการผลิตถุงยางอนามัย เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูง แข็งแรง ทนทาน และราคาไม่แพง
ข้อควรระวัง: ผู้ที่แพ้ยางพารา (Latex Allergy) อาจเกิดอาการแพ้ เช่น คัน ระคายเคือง ผื่นแดง หรือผิวหนังบวมพองได้ หากมีอาการแพ้ ควรหลีกเลี่ยงและเลือกใช้ถุงยางอนามัยที่ทำจากวัสดุอื่นแทน
ข้อจำกัด: ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันได้ เพราะจะทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพและฉีกขาดได้ง่าย
วัสดุสังเคราะห์ (Synthetic Materials)
ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้ยางพารา หรือต้องการความรู้สึกที่แตกต่างออกไป โดยวัสดุที่นิยมใช้ ได้แก่
โพลียูรีเทน (Polyurethane) เป็นวัสดุที่บางมาก ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่ มีความแข็งแรงและทนทานต่อการฉีกขาด สามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นได้ทุกประเภท (ทั้งแบบน้ำและแบบน้ำมัน) แต่ราคาอาจสูงกว่าถุงยางอนามัยยางธรรมชาติ
โพลีไอโซพรีน (Polyisoprene) เป็นยางสังเคราะห์ที่เลียนแบบคุณสมบัติของยางธรรมชาติ ทำให้มีความยืดหยุ่นและให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับถุงยางอนามัยลาเท็กซ์ แต่ไม่มีโปรตีนจากยางธรรมชาติที่ทำให้เกิดอาการแพ้ สามารถใช้กับสารหล่อลื่นชนิดน้ำและซิลิโคนได้
ถุงยางอนามัยแบ่งชนิดตามลักษณะผิวเป็น 2 ชนิด คือ ผิวเรียบและผิวไม่เรียบ ถ้าแบ่งตามขนาด มีด้วยกันถึง 13 ขนาดตั้งแต่ขนาด 44 จนถึง 56 มิลลิเมตร ในประเทศไทยขณะนี้จำหน่ายขนาด 49 , 51, 52 ,53, 54 และ 56 มิลลิเมตร
ถุงยางอนามัยที่เหมาะสมกับแต่ละคน สามารถสังเกตตัวเองได้เมื่ออวัยวะเพศมีการแข็งตัวเกิดขึ้น โดยทั่วไปจะขยายได้ใหญ่กว่าเดิม 3-5 เท่า การเลือกขนาดถุงยางอนามัย ควรเลือกให้พอดี ไม่หลวม หรือคับแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้ฉีกขาดง่าย หรือหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งขนาดของถุงยางจะแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อ โดยวัดจากเส้นรอบวงองคชาต ไม่ใช่ความยาว เพราะถุงยางอนามัยเกือบทุกยี่ห้อ จะทำความยาวมาเท่า ๆ กัน คือประมาณ 6-7 นิ้วเท่านั้น ใครที่มีอวัยวะเพศที่ยาวกว่านี้ก็อาจไม่สามารถครอบได้หมด ถุงยางอนามัย จะบอกเส้นรอบวงเป็นมิลลิเมตร ดังนี้
• ถุงยางอนามัย ขนาด 49 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 11-12 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว)
• ถุงยางอนามัยขนาด 52 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 12-13 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว)
• ถุงยางอนามัย ขนาด 54 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 13-14 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว)
• ถุงยางอนามัยขนาด 56 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 14-15 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 6 นิ้วขึ้นไป)
• ช่วยคุมกำเนิด ถุงยางจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดถึง 98 % หากใช้อย่างถูกวิธี
• ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV 70-87 % ในกลุ่มชายรักชายและมากกว่า 90 %ในกลุ่มคู่รักชายหญิง (กลุ่มชายรักชาย ถุงยางอนามัยมีเปอร์เซ็นต์ป้องกันต่ำกว่า เนื่องจากมีการร่วมเพศทางทวารหนักเป็นหลัก ซึ่งอาจมีการฉีกขาดของทวารหนักระหว่างร่วมเพศ จึงมีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อ HIV มากกว่าการร่วมเพศแบบปกติของชายหญิง)
• ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเริม โรคตับอักเสบบี โรคหูดหงอนไก่ โรคหนองในแท้และเทียม โรคซิฟิลิส ได้ 50-90%
1.ใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางทวารหนัก ช่องคลอดหรือทางปาก ควรพกถุงยางอนามัยมากกว่าหนึ่งชิ้น ให้เพียงพอต่อการใช้ วางถุงยางอนามัยในที่หยิบง่าย เพื่อสะดวกต่อการใช้งาน
2.ใช้ตลอดการมีเพศสัมพันธ์ โดยใส่ถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ ระหว่างใช้ ถ้าลื่นหลุดหรือแตกต้องเปลี่ยนอันใหม่ทันที
3.นำถุงยางอนามัยออกจากซองอย่างระมัดระวัง โดยรีดถุงยางอนามัย ไปไว้ที่มุมใดมุมหนึ่ง ฉีกซองโดยระวังมิให้เล็บมือเกี่ยวถุงยางอนามัยขาดและอย่าคลี่ถุงยางอนามัยออกก่อนการสวมใส่
4.บีบส่วนปลายของถุงยางอนามัยเพื่อไล่ลมออก มิฉะนั้นจะทำให้ถุงยางอนามัยแตกได้
5.รูดถุงยางอนามัยให้ขอบถุงยางอนามัยที่ม้วนอยู่ด้านนอก หากอวัยวะเพศไม่ได้ขลิบปลาย ให้รูดหนังส่วนปลายก่อนการสวมใส่ ค่อยๆรูดถุงยางอนามัยเข้าหาตัวจนสุดโคนอวัยวะเพศ
6.ถ้าใช้ถุงยางอนามัยแล้วรู้สึกฝืด ให้หยดสารหล่อลื่นหรือเจลชนิดละลายในน้ำ เช่น เค-วาย เจล 1-2 หยด บริเวณด้านนอกถุงยางอนามัย จะช่วยให้รู้สึกราบรื่นขึ้น ห้ามใช้โลชั่น น้ำมันทาผิว หรือครีมทาผม กับถุงยางอนามัย เพราะผลิตภันฑ์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม จะทำให้ถุงยางอนามัยแตก และรั่วซึมได้
7.หลังเสร็จกิจให้ดึงอวัยวะเพศออกทันทีและถอดถุงยางอนามัยออกก่อนที่อวัยวะเพศจะอ่อนตัว โดยใช้กระดาษชำระพันโคนถุงยางอนามัยก่อนที่จะถอด หากไม่มีกระดาษชำระจะต้องระวังไม่ให้มือสัมผัสกับด้านนอกของถุงยางอนามัย ควรสันนิษฐานว่าด้านนอกของถุงยางอนามัยอาจจะปนเปื้อนเชื้อโรคแล้ว
8.ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วควรห่อให้มิดชิด แล้วทิ้งในถังขยะ ห้ามใช้ซ้ำ
Advertisement