GWM (Thailand) ได้ฤกษ์เปิดตัว NEW GWM TANK 500 DIESEL อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันล่าสุด โดยมีราคาแนะนำช่วงเปิดตัวเริ่มต้นที่ 1.399 – 1.599 ล้านบาท สำหรับผู้ที่ออกรถ 500 ท่านแรก พร้อมดึง “ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์” เป็นพรีเซ็นเตอร์รถยนต์ PPV ดีเซลรุ่นใหม่นี้
(*ทั้ง ULTRA และ ULTRA 4WD มาพร้อมสีพิเศษ Black Warrior ซึ่งจะมีราคาเพิ่มจากรุ่นปกติ 30,000 บาท)
ราคาข้างต้นเป็นราคาช่วงแนะนำ 500 คันแรก หลังจากนั้นขยับขึ้น 50,000 บาทในรุ่น PRO และ 100,000 บาท ในรุ่น ULTRA และ ULTRA 4WD
สีภายนอก 2 สี ได้แก่ สีขาว สีเทา และรุ่นตกแต่งพิเศษ Black Warrior (เฉพาะรุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD) ส่วนภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีดำ
มาพร้อมกับประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปีเต็ม ฟรีบริการระบบตรวจสอบและสั่งการรถผ่านอินเทอร์เน็ต* (Telematic Service) พร้อมแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตภายในรถ (Internet in Vehicle) ระยะเวลา 3 ปี ฟรีค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทางภายในระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน และไม่รวมอะไหล่สิ้นเปลือง) ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี พร้อมการรับประกันคุณภาพรถใหม่ครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร** (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และการรับประกันเครื่องยนต์ดีเซล 1,000,000 กิโลเมตร หรือ 8 ปี (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
วางเป้ายอดขายไว้ที่ 300 คันต่อเดือน โดยในล็อตแรกมีรถพร้อมส่งมอบราว 100-120 คัน สำหรับยอดขาย 6 เดือนแรกของ GWM ในประเทศไทยทุกรุ่นรวมกันอยู่ที่ 7,100 คัน ตั้งเป้าจบปี 2568 ที่ยอดขาย 14,000-15,000 คัน
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด ระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) และเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9AT) ให้กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 184 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ระยะทางขับขี่รวมมากกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมันหนึ่งครั้ง
ระบบหัวฉีดคอมมอนเรลแรงดันสูง 2,000 บาร์ ปั๊มน้ำมันเครื่องแบบปรับอัตราการไหล และระบบ EGR ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์
โหมดการขับขี่สูงสุดถึง 8 โหมด แยกเป็น NEW GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T PRO และ 2.4T ULTRA มาพร้อม 3 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต และโหมดประหยัด
NEW GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA 4WD มาพร้อม 8 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมด 2H, โหมด 4H, โหมด 4L, โหมดพื้นหิมะ, โหมดพื้นโคลน, โหมดพื้นทราย, โหมดพื้นหิน และโหมดผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ รุ่น 2.4T ULTRA 4WD ยังมากับระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (Tank Turn), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติสำหรับทางออฟโรด (Off-road Cruise Control) ระบบล็อกเฟืองด้านหน้าและด้านหลัง (Front and Rear Differential Lock)
GWM TANK 500 DIESEL พัฒนาบนโครงสร้างแชสซีแบบตัวถังวางบนเฟรม (Body-on-Frame) ที่ออกแบบขึ้นเฉพาะสำหรับรถยนต์ในตระกูล GWM TANK ระยะความสูงใต้ท้องรถ 224 มม. ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ (Double-Wishbone ด้านหลังใช้ช่วงล่างแบบมัลติลิงก์
NEW GWM TANK 500 DIESEL มิติตัวถังขนาดใหญ่ กว้าง 1,934 มม. ยาว 4,886 มม. และสูง 1,905 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ไฟหน้าแบบ LED มาพร้อมไฟส่องสว่างกลางวัน (Daytime Running Lights), ฟังก์ชัน “Follow-Me-Home” และระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ ล้ออัลลอยสีดำ ในรุ่น 2.4T PRO ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง Westlake ขนาด 265/60 R18 และยางอะไหล่ ในรุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง Continental ขนาด 265/50 R20 และยางอะไหล่
การออกแบบภายในของห้องโดยสาร NEW GWM TANK 500 DIESEL ประกอบด้วยหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัล TFT (TFT Digital Driving Display) ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอสัมผัสมัลติมีเดียขนาด 12.3 นิ้ว ในรุ่น 2.4T PRO และขนาด 14.6 นิ้ว ในรุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD
ระบบชาร์จไร้สาย 50W พร้อมพอร์ต Type-A/C ด้านหน้า และ Type-A ด้านหลัง เบาะนั่งออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ช่วยลดความเมื่อยล้าระหว่างเดินทางไกล รองรับสรีระผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมระบบกรองอากาศ N95 เบาะหลังพับได้แบบ 50:50 รองรับปริมาณสัมภาระสูงสุด 795 ลิตร แพดเดิลชิฟต์บนพวงมาลัย
GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA เพิ่มอุปกรณ์ดังต่อไปนี้ ตกแต่งด้วยหนัง Nappa ระบบเสียงรอบทิศทางแบบพื้นฐานจำนวน 12 ลำโพง ระบบบันทึกตำแหน่งพร้อมระบบ Welcome seat ฟังก์ชันปรับเบาะไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อม VIP สวิตช์ สำหรับเบาะผู้โดยสารด้านหน้า ช่วยให้ง่ายต่อการขึ้น-ลงรถ ระบบเบาะนวดไฟฟ้า สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา
GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA 4WD เพิ่มระบบเบาะระบายอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและแถวสอง
ระบบอัปเกรดเฟิร์มแวร์แบบ FOTA (Firmware Over-the-Air) รองรับการอัปเดตระบบเกียร์ อัตราเร่ง ระบบช่วยขับขี่ ความบันเทิง และการควบคุมภายในห้องโดยสารผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ต ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเข้าศูนย์บริการ เช่น ปรับอัลกอริธึมโหมดออฟโรด และอัปเดตอินเทอร์เฟซของตัวรถ ระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Interaction System) รองรับคำสั่งภาษาไทย และอังกฤษ สำหรับควบคุมเครื่องปรับอากาศ ซันรูฟ ระบบนำทาง และความบันเทิง
ระบบควบคุมรถจากระยะไกล (Remote Vehicle Control) ฟังก์ชันพื้นฐาน ได้แก่ สตาร์ทรถหรือดับเครื่อง จากระยะไกล, เปิด-ปิดแอร์, เปิด-ปิดประตู ปิดหน้าต่างและซันรูฟ, และตรวจสอบสถานะรถ เช่น แรงดันลมยาง และระดับน้ำมันเชื้อเพลิง ฟังก์ชันด้านความปลอดภัย (Security Features) ประกอบด้วยระบบติดตามตำแหน่งรถ, การตั้งขอบเขตพื้นที่การใช้งาน (E-Fencing), และระบบแจ้งเตือนความผิดปกติ (เช่น เช็กสถานะการเปิดประตู หรือหน้าต่าง)
ระบบอินเทอร์เฟซผู้ใช้งาน (HMI Interaction) NEW GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA จอคู่แบบอินเทอร์แอคทีฟ แสดงแผนที่แบบแบ่งหน้าจอ, การมิเรอร์สื่อมัลติมีเดีย, และข้อมูลโหมดออฟโรด NEW GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA 4WD หน้าจอ UI พิเศษสำหรับออฟโรด แสดงค่าความลาดเอียงภูมิประเทศ สถานะการล็อกดิฟเฟอเรนเชียล และโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อแบบเรียลไทม์
ปาร์คเกอร์ ฉี ประธาน GWM ตลาดต่างประเทศ กล่าวว่า
“วันนี้นับเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของ GWM ในการสานต่อกลยุทธ์ระดับโลก All scenario, All powertrain, All users ด้วยการเปิดตัว NEW GWM TANK 500 DIESEL อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เรามั่นใจว่า NEW GWM TANK 500 DIESEL จะได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้บริโภคชาวไทย และจะเป็นอีกหนึ่งก้าวย่างสำคัญที่ร่วมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่เวทีโลกไปพร้อมกับเรา”
“ในปีนี้ GWM เฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปี ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมกว่า 170 ประเทศทั่วโลก และในช่วงต้นปีนี้ GWM ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 15 ล้านคน สำหรับปีที่ผ่านมา ยอดขายในตลาดต่างประเทศทะลุ 450,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 44.61% นี่เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วโลกที่มีต่อแบรนด์ GWM ความสำเร็จนี้เกิดจากยุทธศาสตร์ 4 เสาหลักของโลกาภิวัตน์ คือ ผลิตในพื้นที่ ดำเนินการในพื้นที่ เติบโตในระดับโลก และบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยแนวคิด ‘In Local, For Local’ ที่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคในแต่ละประเทศเป็นศูนย์กลางของทุกการพัฒนา ไม่เพียงเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ที่สุด แต่ยังส่งเสริมการจ้างงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตในชุมชนท้องถิ่น ภายในปี 2030 เราตั้งเป้ายอดขายในต่างประเทศกว่า 1 ล้านคันต่อปี โดยมากกว่า 30% จะเป็นรถยนต์พรีเมียม และประเทศไทยคือหนึ่งในตลาดยุทธศาสตร์สำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ในฐานะศูนย์กลางการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาเพื่อรองรับตลาดระดับภูมิภาค และระดับโลก” ปาร์คเกอร์ ฉี กล่าวเสริม