Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ไส้กรอง 2 ชนิดที่คนใช้รถต้องแยกให้ออก เพื่อลมหายใจที่สะอาดอากาศสดชื่น

ไส้กรอง 2 ชนิดที่คนใช้รถต้องแยกให้ออก เพื่อลมหายใจที่สะอาดอากาศสดชื่น

29 ก.ย. 68
12:00 น.
แชร์

ไส้กรองแอร์รถยนต์และไส้กรองอากาศรถยนต์เป็นสองชิ้นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของรถยนต์ แต่หลายคนยังคงสับสนในหน้าที่และตำแหน่งของชิ้นส่วนทั้งสองนี้ แม้ว่าทั้งคู่จะมีหน้าที่ในการ “กรอง” อากาศเหมือนกัน แต่จุดประสงค์ในการใช้งานและผลกระทบต่อระบบของรถยนต์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การทำความเข้าใจความแตกต่างของไส้กรองทั้งสองชนิดนี้จะช่วยให้เราดูแลรักษารถได้อย่างถูกจุดและปลอดภัยต่อทั้งตัวเราและเครื่องยนต์ไปพร้อมกัน

ไส้กรองแอร์รถยนต์ (Cabin Air Filter)

ไส้กรองแอร์รถยนต์ หรือที่บางครั้งเรียกว่า ไส้กรองห้องโดยสาร มีหน้าที่หลักในการดักจับสิ่งสกปรกและอนุภาคต่างๆ ที่ปะปนมากับอากาศภายนอกก่อนที่จะเข้าสู่ระบบปรับอากาศของรถยนต์ เพื่อให้แน่ใจว่าอากาศที่หมุนเวียนภายในห้องโดยสารนั้นสะอาดและปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้โดยสาร ภายในไส้กรองแอร์จะประกอบด้วยใยสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่นละออง PM2.5 เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ และเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งสิ่งสกปรกเหล่านี้หากเข้าสู่ห้องโดยสารโดยตรงอาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือโรคทางเดินหายใจได้

ไส้กรองแอร์จะถูกติดตั้งอยู่ภายในระบบปรับอากาศของรถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่หลัง ช่องเก็บของหน้ารถ (glove box) ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึงและเปลี่ยนเองได้ ไส้กรองแอร์ควรได้รับการเปลี่ยนตามระยะเวลาที่ผู้ผลิตกำหนด หรือเมื่อสังเกตเห็นว่าลมแอร์เริ่มเบาลง มีกลิ่นอับ หรือมีฝุ่นละอองจากช่องแอร์ออกมา สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าไส้กรองแอร์เริ่มอุดตันและถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว การเปลี่ยนไส้กรองแอร์เป็นประจำจะช่วยยืดอายุการใช้งานของ คอยล์เย็น (evaporator) ป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกไปเกาะสะสมจนเกิดการอุดตันและทำให้ระบบแอร์ทำงานหนักขึ้น

ไส้กรองอากาศรถยนต์ (Engine Air Filter)

ไส้กรองอากาศรถยนต์ มีหน้าที่สำคัญในการกรองสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง และอนุภาคขนาดใหญ่ต่างๆ ที่ปะปนมากับอากาศก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปในเครื่องยนต์ อากาศที่สะอาดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพ หากอากาศที่เข้าสู่เครื่องยนต์มีสิ่งสกปรกเจือปน อาจทำให้ หัวเทียน (spark plugs) หัวฉีด (injectors) และชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์อื่นๆ เสียหายได้ในระยะยาว

ไส้กรองอากาศจะถูกติดตั้งอยู่ใน หม้อกรองอากาศ (air filter box) ซึ่งตั้งอยู่ในห้องเครื่องยนต์ใกล้กับเครื่องยนต์ ไส้กรองอากาศทำจากกระดาษกรองพิเศษที่มีความละเอียดสูง สามารถดักจับอนุภาคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศตามระยะทางที่ผู้ผลิตแนะนำ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 10,000-20,000 กิโลเมตร หรือบ่อยกว่านั้นหากขับขี่ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองมาก เช่น บนถนนลูกรัง สัญญาณบ่งบอกว่าไส้กรองอากาศเริ่มอุดตันคือ อัตราเร่งของรถลดลง สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น และ มีควันดำออกมาจากท่อไอเสีย

ความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 ชนิด

คุณสมบัติ

ไส้กรองแอร์รถยนต์ (Cabin Air Filter)

ไส้กรองอากาศรถยนต์ (Engine Air Filter)

หน้าที่

กรองอากาศก่อนเข้าห้องโดยสารเพื่อสุขภาพของผู้โดยสาร

กรองอากาศก่อนเข้าสู่เครื่องยนต์เพื่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์

ตำแหน่งติดตั้ง

ในระบบแอร์ห้องโดยสาร (ส่วนใหญ่อยู่หลังช่องเก็บของ)

ในห้องเครื่องยนต์ (ในหม้อกรองอากาศ)

ผลกระทบจากการอุดตัน

ลมแอร์เบาลง, มีกลิ่นอับ, ผู้โดยสารหายใจลำบาก, คอยล์เย็นอุดตัน

เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น, สิ้นเปลืองน้ำมัน, อัตราเร่งลดลง, อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้

วัสดุ

ใยสังเคราะห์

กระดาษกรองพิเศษ

แม้ทั้งสองไส้กรองจะมีหน้าที่ในการ "กรองอากาศ" เหมือนกัน แต่จุดประสงค์และผลกระทบจากการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไส้กรองแอร์ มุ่งเน้นไปที่สุขภาพและความสบายของผู้โดยสารในห้องโดยสาร ส่วน ไส้กรองอากาศ มุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ การดูแลรักษาและเปลี่ยนไส้กรองทั้งสองชิ้นนี้อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้รถยนต์ทำงานได้อย่างสมบูรณ์และปลอดภัยทั้งต่อผู้ใช้รถและตัวรถเอง

เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนไส้กรองทั้งสองชนิด

การเปลี่ยนไส้กรองทั้งสองชนิดนี้ไม่มีกำหนดตายตัวที่แน่นอนสำหรับรถทุกคัน เนื่องจากปัจจัยสำคัญอยู่ที่ สภาพการใช้งานและสภาพแวดล้อมในการขับขี่ เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เราสามารถใช้ทั้งระยะทางและสัญญาณเตือนจากรถเพื่อประกอบการตัดสินใจได้

ไส้กรองแอร์รถยนต์

  • โดยทั่วไปควรเปลี่ยนทุก 10,000 - 20,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี
  • หากขับรถในพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองมาก เช่น บนถนนลูกรังหรือในพื้นที่ก่อสร้าง ควรเปลี่ยนให้เร็วขึ้น อาจจะทุกๆ 5,000 กิโลเมตร

สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต

  • ลมแอร์เบาลง รู้สึกว่าลมที่ออกมาจากช่องแอร์ไม่แรงเหมือนเดิม แม้จะเปิดพัดลมแอร์ในระดับที่สูง
  • มีกลิ่นเหม็นอับ เมื่อเปิดแอร์แล้วมีกลิ่นไม่พึงประสงค์คล้ายกลิ่นอับชื้นหรือกลิ่นเหม็นเปรี้ยว
  • มีฝุ่นละอองออกมาจากช่องแอร์ สังเกตเห็นฝุ่นผงเล็กๆ ปลิวออกมาจากช่องแอร์ในห้องโดยสาร
  • แอร์ไม่เย็นฉ่ำ เนื่องจากอากาศไหลเวียนไม่สะดวก ทำให้ระบบทำความเย็นทำงานได้ไม่เต็มที่

ไส้กรองอากาศรถยนต์

  • โดยทั่วไปควรเปลี่ยนทุก 20,000 - 40,000 กิโลเมตร หรือทุกๆ 1 - 2 ปี
  • สำหรับผู้ที่ขับรถในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นมาก ควรตรวจสอบและเปลี่ยนบ่อยขึ้น อาจจะทุก 10,000 กิโลเมตร

สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต

  • อัตราเร่งลดลง รู้สึกว่ารถไม่มีกำลังเครื่องยนต์เท่าที่ควร หรือรถวิ่งอืดกว่าปกติเมื่อเร่งความเร็ว
  • สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น เนื่องจากเครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อดึงอากาศที่ถูกอุดตันเข้าไป ทำให้ต้องใช้น้ำมันมากขึ้น
  • มีควันดำออกมาจากท่อไอเสีย การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์อาจทำให้เกิดควันดำ ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดอากาศที่สะอาด
  • เครื่องยนต์เดินไม่เรียบหรือมีเสียงดังผิดปกติ เมื่อไส้กรองอุดตันจนอากาศไหลผ่านไม่พอ อาจทำให้เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ

การตรวจสอบและเปลี่ยนไส้กรองตามระยะทางที่แนะนำและสังเกตจากสัญญาณเตือนต่างๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาประสิทธิภาพของรถยนต์และสุขภาพของผู้โดยสาร

แชร์
ไส้กรอง 2 ชนิดที่คนใช้รถต้องแยกให้ออก เพื่อลมหายใจที่สะอาดอากาศสดชื่น