ในยุคที่โลกกำลังขับเคลื่อนเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ การเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่ รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles - EVs) กำลังเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่อาจย้อนกลับได้ รถยนต์ไฟฟ้ามอบประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านการลดมลพิษทางอากาศ การประหยัดพลังงาน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความตื่นเต้นกับเทคโนโลยีใหม่นี้ มีประเด็นสำคัญหนึ่งที่มักถูกมองข้ามไป นั่นคือ "ความเงียบ" ที่เป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอาจกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามความปลอดภัยของ คนเดินเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้บกพร่องทางการได้ยิน หรือ คนหูหนวก
ความเงียบที่อันตราย เมื่อเสียงคือสัญญาณเตือนที่ถูกพรากไป
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนเดินเท้า คนขับรถ หรือแม้กระทั่งนักปั่นจักรยาน ล้วนคุ้นชินกับการพึ่งพา "เสียง" เพื่อรับรู้ถึงการมีอยู่และการเคลื่อนที่ของยานพาหนะ เสียงเครื่องยนต์คำราม เสียงยางบดถนน หรือแม้แต่เสียงแตร ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วว่าจะก้าวเดินไปข้างหน้า หยุดรอ หรือหันไปมองในทิศทางที่มาของเสียง
แต่ในทางกลับกัน รถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ (ปกติจะต่ำกว่า 20-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) หรือเมื่อเคลื่อนที่ในลานจอดรถและพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น แทบจะไม่มีเสียง ให้คนภายนอกได้ยินเลย ความเงียบนี้เป็นผลมาจากธรรมชาติของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำงานได้อย่างราบรื่นและเงียบกริบ แตกต่างจากเครื่องยนต์สันดาปที่ต้องมีการเผาไหม้และสร้างแรงเสียดทาน
ผลที่ตามมาคือ คนเดินเท้าที่เคยพึ่งพา "เสียง" เพื่อเป็นระบบเตือนภัยอัตโนมัติ ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายอย่างไม่คาดคิด พวกเขาอาจมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นรถ แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ทำให้รู้สึกปลอดภัยที่จะก้าวเดินออกไป โดยไม่รู้ว่ามีรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ในระยะประชิด การศึกษาในหลายประเทศแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ความเร็วต่ำ ซึ่งมักจะส่งผลกระทบต่อคนเดินเท้าและนักปั่นจักรยานอย่างรุนแรง
โลกที่ไร้เสียงสำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน
สำหรับ ผู้บกพร่องทางการได้ยิน หรือ คนหูหนวก ความเงียบของรถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่แค่ความท้าทาย แต่คือ ความเสี่ยงที่ทวีคูณขึ้นอย่างมหาศาล เพราะพวกเขาไม่สามารถพึ่งพาสัญญาณเสียงใดๆ จากสภาพแวดล้อมได้เลย การรับรู้การมาของรถยนต์จึงต้องอาศัยเพียง การมองเห็น เท่านั้น ซึ่งในหลายสถานการณ์ การมองเห็นเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันอุบัติเหตุ
ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ต่อไปนี้
- มุมอับและสิ่งกีดขวาง หากคนหูหนวกกำลังเดินอยู่บนทางเท้าที่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ รถยนต์ที่จอดอยู่ หรืออาคารบังสายตา พวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเคลื่อนตัวออกมาจากมุมอับได้ และในเมื่อไม่มีเสียงเตือน พวกเขาก็จะไม่มีทางรู้ตัวเลย
- สภาพอากาศและทัศนวิสัยไม่ดี ในวันที่ฝนตกหนัก มีหมอกลงจัด หรือในเวลากลางคืนที่แสงสว่างไม่เพียงพอ การมองเห็นจะลดลงอย่างมาก และหากไม่มีสัญญาณเสียงเพื่อช่วยเสริมการรับรู้ ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุก็จะพุ่งสูงขึ้น
- พื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น ในเมืองใหญ่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน การจราจรคับคั่ง และรถยนต์จำนวนมาก การพึ่งพาการมองเห็นเพียงอย่างเดียวในการแยกแยะว่ารถคันไหนกำลังเคลื่อนที่หรือหยุดนิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากสำหรับคนหูหนวก
- การใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือ แม้คนหูหนวกบางคนอาจใช้เครื่องช่วยฟังหรือประสาทหูเทียม แต่เครื่องมือเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ได้ยินเสียงในทุกย่านความถี่หรือในทุกสถานการณ์ เสียงที่เบาและสม่ำเสมอของรถยนต์ไฟฟ้าในความเร็วต่ำอาจเป็นเสียงที่ถูกละเลยหรือกลืนหายไปกับเสียงรบกวนอื่นๆ ในสภาพแวดล้อมได้ง่าย
ความกังวลนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในประเทศที่รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มแพร่หลายมากขึ้น องค์กรที่เกี่ยวข้องกับผู้บกพร่องทางการได้ยินได้ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน เพราะมันคือประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับบนท้องถนน
มาตรการป้องกัน เทคโนโลยี กฎระเบียบ และการปรับตัว
เพื่อตอบรับกับความท้าทายนี้ ทั้งภาครัฐและอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกได้เริ่มดำเนินการในหลายๆ ด้าน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดและความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน
- ระบบเสียงเตือนยานพาหนะ (Acoustic Vehicle Alerting System - AVAS) นี่คือมาตรการหลักและสำคัญที่สุด หลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ได้ออกกฎหมายบังคับให้รถยนต์ไฟฟ้าทุกคันที่ผลิตหรือนำเข้ามาจำหน่ายต้องติดตั้งระบบ AVAS โดยระบบนี้จะสร้าง เสียงสังเคราะห์ ขึ้นมาเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำ (โดยทั่วไปคือต่ำกว่า 20-30 กม./ชม.) ซึ่งเป็นช่วงที่รถยนต์เงียบที่สุดและมีแนวโน้มที่จะเกิดปฏิสัมพันธ์กับคนเดินเท้ามากที่สุดลักษณะของเสียง เสียงที่สร้างขึ้นโดย AVAS ไม่ได้เลียนแบบเสียงเครื่องยนต์สันดาป แต่เป็นเสียงที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ มักจะเป็นเสียงที่มีระดับความดังคงที่และเป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้คนเดินเท้าสามารถรับรู้ได้ง่ายว่าเป็นเสียงของยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ โดยไม่สร้างความรำคาญหรือเป็นมลภาวะทางเสียงมากเกินไป นอกจากนี้ เสียงอาจมีการปรับเปลี่ยนระดับความดังและโทนเสียงเล็กน้อยตามความเร็วของรถเพื่อช่วยให้คนเดินเท้าประเมินทิศทางและระยะห่างได้วัตถุประสงค์ จุดประสงค์หลักของ AVAS คือการเตือนให้คนเดินเท้าและผู้ใช้ถนนกลุ่มเปราะบางอื่นๆ ทราบถึงการมีอยู่ของรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเข้ามาใกล้ เพื่อให้พวกเขามีเวลาเพียงพอในการประเมินสถานการณ์และตัดสินใจอย่างปลอดภัย
- การออกแบบยานพาหนะเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มให้ความสำคัญกับการออกแบบภายนอกของรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถ ดึงดูดสายตา และทำให้คนเดินเท้าสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Lights - DRLs) การใช้ DRLs ที่สว่างและมีรูปแบบที่โดดเด่น ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่สังเกตเห็นได้ง่ายขึ้นแม้ในเวลากลางวันสีสันและสัดส่วนตัวรถ การออกแบบที่ใช้สีตัดกัน หรือมีสัดส่วนที่แตกต่างจากรถทั่วไปเล็กน้อย อาจช่วยให้คนเดินเท้าสังเกตเห็นได้เร็วยิ่งขึ้น
- เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) รถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นติดตั้งระบบ ADAS ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับทั้งคนขับและคนเดินเท้า ได้แก่ ระบบตรวจจับคนเดินเท้าและจักรยาน ใช้เรดาร์ กล้อง และเซ็นเซอร์ในการตรวจจับคนเดินเท้าหรือนักปั่นจักรยานที่อยู่ในเส้นทางของรถ และจะส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้ขับขี่ หากผู้ขับขี่ไม่ตอบสนอง ระบบอาจทำการเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Autonomous Emergency Braking - AEB) เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดความรุนแรงของการชนระบบเตือนการชนด้านหน้า แจ้งเตือนผู้ขับขี่เมื่อตรวจพบความเสี่ยงที่จะชนกับยานพาหนะหรือสิ่งกีดขวางด้านหน้า
- การรณรงค์และการให้ความรู้ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความตระหนักรู้ให้กับทุกภาคส่วน สำหรับคนขับรถยนต์ไฟฟ้า ให้ความรู้เกี่ยวกับความเงียบของรถและเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการขับขี่ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษในพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน การใช้ความเร็วที่เหมาะสม และการระมัดระวังในการถอยจอดสำหรับคนเดินเท้าทั่วไป รณรงค์ให้เพิ่มความระมัดระวัง อย่าพึ่งพาสัญญาณเสียงเพียงอย่างเดียว แต่ให้มองดูสภาพแวดล้อมให้รอบด้านก่อนก้าวเดิน และหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่อาจทำให้เสียสมาธิขณะเดินบนถนนสำหรับกลุ่มผู้บกพร่องทางการได้ยิน จัดทำสื่อการเรียนรู้และรณรงค์ที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยี AVAS รวมถึงคำแนะนำในการเพิ่มความปลอดภัยส่วนบุคคล เช่น การสแกนพื้นที่รอบตัวด้วยสายตาให้ถี่ถ้วนก่อนก้าวเดิน
การอยู่ร่วมกันบนท้องถนน
การมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ความเงียบของมันได้นำพาความท้าทายใหม่ๆ มาสู่ความปลอดภัยบนท้องถนน โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเปราะบางอย่างคนเดินเท้าและผู้บกพร่องทางการได้ยิน
การสร้างสภาพแวดล้อมการเดินทางที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น
- ผู้กำหนดนโยบาย ในการออกกฎหมายและข้อบังคับที่ชัดเจนเกี่ยวกับ AVAS และมาตรฐานความปลอดภัยอื่นๆ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
- ผู้ผลิตรถยนต์ ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและออกแบบยานพาหนะที่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนเดินเท้าเป็นสำคัญ
- คนขับรถ ในการปรับพฤติกรรมการขับขี่ให้มีความระมัดระวังและคำนึงถึงผู้ใช้ถนนคนอื่นๆ มากขึ้น
- คนเดินเท้า ในการเพิ่มความระมัดระวังและตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมบนท้องถนน
ด้วยการผสมผสานระหว่าง เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม กฎระเบียบที่รอบคอบ และที่สำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจซึ่งกันและกันและความตระหนักรู้ ของผู้ใช้ถนนทุกคน เราจะสามารถสร้างอนาคตที่ทุกคนสามารถใช้ท้องถนนร่วมกันได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า หรือผู้คนที่ก้าวเดินด้วยสองเท้าก็ตาม