เตรียมตัวคาดเข็มขัดนิรภัยให้แน่น แล้วกระโดดขึ้นไทม์แมชชีนไปสำรวจเส้นทางการเดินทางอันน่าทึ่งของ "พวงมาลัย" อุปกรณ์ควบคุมทิศทางที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เคียงคู่กับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ตั้งแต่ยุคบุกเบิกที่การขับขี่ต้องอาศัยพละกำลังมหาศาล ไปจนถึงยุคปัจจุบันที่การควบคุมรถเป็นเรื่องง่ายดาย และก้าวล้ำไปสู่อนาคตที่พวงมาลัยอาจพลิกบทบาทไปมากกว่าการบังคับเลี้ยวเพียงอย่างเดียว
จาก 'หนักแน่น' สู่ 'นุ่มนวล' และ 'ชาญฉลาด' วิวัฒนาการของระบบบังคับเลี้ยว
หากย้อนกลับไปในยุคบุกเบิกรถยนต์ การควบคุมทิศทางของเจ้าสัตว์เหล็กสี่ล้อนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว พวงมาลัยในยุคแรกๆ นั้นมีขนาดใหญ่โต จับถนัดมือ (แต่ก็ต้องออกแรงเยอะมาก!) และไม่มีระบบช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น การหักเลี้ยวแต่ละครั้งเปรียบเสมือนการออกกำลังกายข้อมือและแขนขนานแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องขับรถด้วยความเร็วต่ำ หรือจอดรถในที่แคบๆ คนขับในยุคนั้นต้องมีพละกำลังไม่น้อยเลยทีเดียว
ยุคบุกเบิก 'ความแข็งแกร่ง' พวงมาลัย 'แมนวล' ผู้บึกบึน
ในยุคเริ่มต้นของอุตสาหกรรมยานยนต์ ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบ "แมนวล" หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า "พวงมาลัยธรรมดา" กลไกการทำงานนั้นตรงไปตรงมา เมื่อผู้ขับขี่หมุนพวงมาลัย เฟืองและคันส่งต่างๆ ก็จะทำหน้าที่ส่งแรงไปยังล้อคู่หน้าเพื่อเปลี่ยนทิศทาง การตอบสนองของพวงมาลัยในยุคนั้นอาจจะให้ความรู้สึกที่ "ดิบ" และเชื่อมต่อกับพื้นถนนโดยตรง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยภาระในการออกแรงที่มากโข โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก
ลองจินตนาการถึงการขับรถบรรทุกในยุคนั้นดู กว่าจะหักเลี้ยวแต่ละทีคงต้องใช้ทั้งตัวช่วยหมุนเลยทีเดียว นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความต้องการระบบที่ช่วยผ่อนแรงในการบังคับเลี้ยว
'ผู้ช่วยทรงพลัง' ยุคทองของพวงมาลัยเพาเวอร์ (Power Steering)
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยี "พวงมาลัยเพาเวอร์" (Power Steering) ได้เข้ามาปฏิวัติวงการยานยนต์อย่างแท้จริง หลักการทำงานของพวงมาลัยเพาเวอร์คือการใช้ "แรงดันไฮดรอลิก" เข้ามาช่วยเสริมแรงในการหมุนพวงมาลัยของผู้ขับขี่ เมื่อเราหมุนพวงมาลัย วาล์วควบคุมจะเปิดให้น้ำมันไฮดรอลิกแรงดันสูงเข้าไปดันกระบอกสูบ ซึ่งจะช่วยผ่อนแรงในการเลี้ยวได้อย่างมหาศาล
การมาถึงของพวงมาลัยเพาเวอร์ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การขับขี่รถยนต์สะดวกสบายและง่ายดายขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงและผู้สูงอายุ การจอดรถในที่แคบๆ หรือการหักเลี้ยวด้วยความเร็วต่ำกลายเป็นเรื่องง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ พวงมาลัยเพาเวอร์จึงกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์ส่วนใหญ่ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฮดรอลิกก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น การใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ตลอดเวลา แม้ในขณะที่ไม่ได้หมุนพวงมาลัย ซึ่งส่งผลต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และอาจมีชิ้นส่วนที่ซับซ้อนมากขึ้น ทำให้มีโอกาสเกิดการบำรุงรักษา
การก้าวเข้าสู่โลกของพวงมาลัยไฟฟ้า (Electric Power Steering - EPS)
ในปัจจุบัน เทคโนโลยีระบบบังคับเลี้ยวได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า "พวงมาลัยไฟฟ้า" (Electric Power Steering - EPS)ซึ่งเข้ามาแทนที่ระบบไฮดรอลิกมากขึ้นเรื่อยๆ หลักการทำงานของ EPS นั้นแตกต่างออกไป โดยจะใช้ "มอเตอร์ไฟฟ้า" ในการช่วยเสริมแรงในการหมุนพวงมาลัยแทนที่ระบบไฮดรอลิก
เมื่อผู้ขับขี่หมุนพวงมาลัย เซ็นเซอร์จะตรวจจับแรงและทิศทางการหมุน จากนั้นจะส่งข้อมูลไปยังหน่วยควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) ซึ่งจะสั่งการให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานเพื่อช่วยผ่อนแรงในการเลี้ยว ข้อดีของ EPS นั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
พวงมาลัยอัจฉริยะ และอาจจะไร้พวงมาลัย
เทคโนโลยีระบบบังคับเลี้ยวยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นระบบที่ชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบที่สามารถปรับน้ำหนักและความไวของพวงมาลัยโดยอัตโนมัติตามสภาพถนนและสไตล์การขับขี่ของผู้ขับขี่แต่ละคน หรือแม้แต่ระบบที่สามารถเรียนรู้และคาดการณ์การขับขี่ของเราได้
และที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ในยุคของรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicles) บทบาทของพวงมาลัยอาจจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง หรืออาจจะหายไปเลยก็เป็นได้ เมื่อรถยนต์สามารถขับเคลื่อนและควบคุมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ พวงมาลัยที่เราคุ้นเคยอาจกลายเป็นเพียงอุปกรณ์เสริม หรือสัญลักษณ์ของการควบคุมแบบดั้งเดิมเท่านั้น
'ความสะดวกสบาย' และ 'ความอัจฉริยะ'
การเดินทางของระบบบังคับเลี้ยวรถยนต์นั้นยาวไกลและน่าทึ่ง จากพวงมาลัยแมนวลที่ต้องใช้พละกำลัง สู่พวงมาลัยเพาเวอร์ที่ช่วยผ่อนแรง และก้าวสู่พวงมาลัยไฟฟ้าอัจฉริยะที่มอบความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และประสิทธิภาพที่เหนือกว่าในทุกด้าน วิวัฒนาการนี้ได้เปลี่ยนแปลงประสบการณ์การขับขี่ของเราไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้การควบคุมรถยนต์เป็นเรื่องง่าย สนุก และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และในอนาคต ระบบบังคับเลี้ยวจะยังคงพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง นำพาเราไปสู่โลกแห่งการขับขี่ที่ล้ำสมัยและน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน