ทนายตั้ม แฉผู้บริหารระดับสูงรัฐวิสาหกิจ เปลี่ยน พ.ศ.เกิดยืดอายุเกษียณ

18 ธ.ค. 66

ทนายตั้ม ถือเอกสารแผ่นเดียว แฉผู้บริหารระดับสูงรัฐวิสาหกิจ เปลี่ยน พ.ศ.เกิด ยืดอายุเกษียณ ตั้งคำถามเจ้าหน้าที่มหาดไทย มีส่วนรู้เห็นหรือไม่

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เปิดเผยถึงกรณีที่มีกลุ่มชมรมคนรักองค์กรของรัฐวิสาหกิจแห้งหนึ่ง ได้เข้ามาร้องเรียนขอให้ตรวจสอบ หลังตรวจพบพิรุธว่ามีข้าราชการกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎร์ จังหวัดนครปฐม ทำการแก้ไขปีเกิดในใบสูติบัตรและบัตรประชาชน ให้กับรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของรัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคมรายใหญ่แห่งหนึ่ง

โดยแก้ไขปีเกิดจากเดิมคือวันที่ 30 ธันวาคม 2506 เป็น 30 ธันวาคม 2507 เมื่อปี 2564 เพื่อขยายระยะเวลาเกษียณของตัวเอง ทำให้จากเดิมที่ต้องเกษียณอายุราชการเกือนกันยายนปี 2567 ขยับไปเป็นกันยายนปี 2568 ทางกลุ่มชมรมคนรักองค์กรรัฐวิสหากิจจึงอยากให้ตรวจสอบ เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หลายอย่าง ทั้งเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้าง เนื่องจากบุคคลดังกล่าวมีอำนาจในการเซ็นอนุมัติโครงการตั้งแต่ 40 - 100 ล้านบาท

ทั้งนี้หากดูจากรายละเอียดในใบสูติบัตรที่มีการแก้ไขตัวเลข พบว่ามีเพียงการแก้ไขปีจาก 2506 เป็นปี 2507 แต่ไม่ได้แก้รายละเอียดใดๆ ทำให้วันที่แจ้งเกิดคือ 31 มกราคม 2507 แต่วันเกิดที่มีการแก้ไขคือ 30 เดือนธันวาคม 2507 จึงตั้งข้อสังเกตว่าจะมีการแจ้งล่วงหน้าก่อนวันเกิดจริง 1 ปีได้อย่างไร และไม่น่าเกิดขึ้นจากความผิดพลาด เนื่องจากการจะขอเปลี่ยนแปลงต้องมีเอกสารและต้องมีการให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎร์ แต่ยังไม่ยืนยันว่าข้าราชการมหาดไทยทุจริตหรือไม่ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

ทั้งนี้บุคคลดังกล่าวอายุ 58 ปีแล้ว เหตุใดจึงเพิ่งมาทราบว่าตัวเองเกิดปี 2507 ไม่ใช่ปี 2506 โดยการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายหลังจากรัฐวิสาหกิจหน่วยงานนี้มีการควบรวมองค์กร และมีการยื่นเอกสารใหม่ หนึ่งในนั้นคือบัตรประชาชน ทำให้องค์กรทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงบัตรประชาชน จึงสอบถามไปที่กระทรวงมหาดไทย จึงได้สูติบัตรฉบับใหม่มา

ทั้งนี้ทางกลุ่มชมรมคนรักรัฐวิสาหกิจ ได้เคยทำหนังสือร้องเรียนไปยังบอร์ดบริการของหน่วยงานต้นสังกัดแล้วเมื่อปี 2565 แต่ก็ไม่เป็นผล

ทนายตั้ม ระบุว่า ตอนนี้ทางทีมกำลังตรวจสอบว่าบุคคลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือไม่ แต่จากการตรวจสอบพบว่าเมื่อปี 2555 บุคคลดังกล่าวเคยคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์

เบื้องต้นหากพบว่ามีการแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จก็จะมีโทษทางอาญา จำคุกตั้งแต่ 6 เดือนไม่เกิน 3 ปี ส่วนทางเจ้าพนักงานทะเบียนราษฎร์ ก็อาจจะเข้าข่ายผิดมาตรา 157 จำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส