
การปะทะทางทหารระหว่างไทยกับกัมพูชาในห้วงหลายเดือนที่ผ่านมา ได้มีรัฐมหาอำนาจออกมาแสดงท่าทีกันหลากหลาย พร้อมเผยให้เห็นว่า ทั้งไทยและกัมพูชาล้วนเกี่ยวพันกับมหาอำนาจในรูปแบบใดบ้าง แต่ทว่า การแสดงออกของประเทศต่างๆเหล่านั้นกลับไม่ส่งเสริมให้กัมพูชาได้เปรียบไทยตามความคาดหวังของรัฐบาลพนมเปญ แต่กลับหนุนให้ไทยค่อย ๆ ตีคู่ถ่วงดุลกับกัมพูชา จนช่วยประคับประคองให้ไทยสามารถปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติเอาไว้ได้
สหรัฐอเมริกา มีส่วนอย่างมากต่อการลงนามในปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2568 นั่นแสดงว่า สหรัฐฯ ก้าวเข้ามาอำนวยความสะดวกและเป็นสักขีพยานในการบรรเทาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาได้มากขึ้น โดยในเชิงยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก สหรัฐฯ ต้องเข้าแข่งขันกับจีนในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการยุทธ์ที่เขมรเพลี่ยงพล้ำไทย ได้ช่วยเร่งเร้าให้พนมเปญต้องดึงวอชิงตันเข้ามาอยู่ในกระบวนการสันติภาพเพื่อให้สหรัฐฯโน้มน้าวไทยให้มาหยุดยิงกับกัมพูชา กอปรกับสหรัฐฯ ก็เล็งเห็นผลประโยชน์ที่จะได้รับในเชิงภูมิรัฐศาสตร์เพราะการเข้าไปเกี่ยวพันกับกระบวนการหยุดยิงจักช่วยเปิดช่องให้สหรัฐฯเข้ามาคานอำนาจกับจีน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างล้นเหลือในกัมพูชา
กระนั้นก็ดี ด้วยจุดยืนของไทยที่สอดคล้องกับสหรัฐฯ ในการทำสงครามปราบปรามสแกมเมอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ และด้วยสายสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ไทย-สหรัฐฯ ที่ผูกพันกันมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น จึงทำให้สหรัฐฯ ยังไม่มีนโยบายต่างประเทศที่เด่นชัดใด ๆ ในการเข้าข้างกัมพูชา
จีนมีผลประโยชน์มากมายในกัมพูชา ทั้งการลงทุนทางเศรษฐกิจและการพัฒนาฐานทัพเรือเรียมในสีหนุวิลล์ แต่จีนก็มีความสัมพันธ์พิเศษกับไทยในฐานะบ้านพี่เมืองน้องและในฐานะรัฐที่เกี่ยวโยงกันอย่างลึกซึ้งในมิติการค้า ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม จีนจึงไม่เลือกเข้าข้างทั้งไทยและกัมพูชาอย่างเด่นชัด
รัฐบาลปักกิ่งยังมีเป้าหมายที่จะนำกลุ่มจีนเทาในเมืองสแกมเมอร์กัมพูชามาลงโทษดำเนินคดีตามกฎหมายจีนซึ่งทำให้การใช้กำลังทหารของไทยเพื่อถล่มแหล่งกาสิโนในปอยเปต ทมอดาและโอร์เสม็ด ไม่ได้รับการขัดขวางห้ามปรามใดๆจากจีน
ผลลัพธ์ที่ได้คือไทยสามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มจีนเทาในกัมพูชาได้สำเร็จ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 28-29 ธันวาคม พ.ศ.2568 รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยได้เดินทางไปพบปะกับ รมต.ต่างประเทศของจีนและกัมพูชาที่นครคุนหมิง ซึ่งการประชุมจบลงด้วยบทบาทจีนที่เพิ่มขึ้นในการพัฒนาสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา จนทำให้จีนเข้าถ่วงดุลกับสหรัฐฯไว้ได้ผ่านกลไกการบรรเทาความขัดแย้งตามวิถีแห่งเอเชีย
รัสเซียมิได้ประกาศท่าทีเด่นชัดว่าจะหนุนไทยหรือกัมพูชา แต่ในฐานะรัฐใหญ่ที่รุกรานรัฐที่เล็กกว่าอย่างยูเครน มอสโกคงจะเข้าใจสถานภาพของไทยเมื่อต้องทำศึกกับกัมพูชาที่เป็นรัฐเล็ก แต่สามารถทำสงครามข้อมูลข่าวสารในการขอความเห็นใจและแรงสนับสนุนจากประชาคมได้
ทว่า ภาพลักษณ์ของไทยในการทำศึกกับเขมร ย่อมชอบธรรมกว่ากรณีรัสเซีย เนื่องจากไทยไม่ได้รุกรานกัมพูชาก่อน แต่เป็นการทำสงครามเพื่อป้องกันตนเองและทวงคืนอาณาเขตเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม บทบาทของรัสเซียจัดว่าซับซ้อนพอควร ทั้งนี้ เพราะจรวดบีเอ็ม 21 และ ยุทธภัณฑ์ในกองทัพบกกัมพูชาจำนวนมากล้วนมีต้นกำเนิดจากสหภาพโซเวียต ซ้ำยังมีข่าวทหารรับจ้างวากเนอร์กับการส่งอาวุธร้ายแรงจากเบลารุส (พันธมิตรหลักของรัสเซีย) ลอบเข้าไปช่วยธุระทางทหารให้แก่ฝ่ายกัมพูชาอยู่เนืองๆ
สำหรับญี่ปุ่นซึ่งเป็นประธานรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาว่าด้วยเรื่องทุ่นระเบิด กลับเงียบเชียบไม่มีท่าทีประณามกัมพูชา (ทั้งๆที่กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาโดยลอบวางทุ่นระเบิดทำร้ายทหารไทยอยู่เป็นระยะ) แต่กระนั้นก็ตาม รัฐบาลโตเกียวก็ยังไม่ดำเนินนโยบายสนับสนุนกัมพูชาแต่อย่างใด มิหนำซ้ำ บริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากต่างเริ่มตัดสินใจถอนฐานผลิตออกจากกัมพูชาและย้ายฐานผลิตเข้าไทยมากขึ้น กอปรกับเริ่มมีชาวญี่ปุ่นออกมาแสดงความคิดเห็นต่อว่าชาวเขมรในโซเชียลมีเดียเพื่อให้กัมพูชาหยุดผลิตข่าวปลอมโจมตีประเทศไทย
กระทรวงต่างประเทศอินเดียออกมาตำหนิไทยที่ทำลายเทวรูปฮินดูที่เขมรสร้างขึ้นตรงช่องอานม้า แต่ก็มิได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมต่อจากนั้น ในทางกลับกัน สื่ออินเดียกลับกล่าวชื่นชมไทยในการโจมตีกาสิโนหลายแห่งในกัมพูชา พร้อมชี้ว่า อินเดียผิดหวังในกัมพูชาที่เป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ และไม่ขอประณามไทยที่ถล่มรังสแกมเมอร์ในกัมพูชา
ในโซเชียลมีเดียของอินเดีย มักแสดงความเห็นกันว่า กัมพูชาคือรัฐบริวารของจีนและกัมพูชาก็ได้อาวุธจากจีนจนมั่นใจขึ้นในการตัดสินใจโจมตีไทย ดูเหมือนทัศนคติของคนอินเดียส่วนหนึ่งจะถือเรื่องการแข่งขันถ่วงดุลอำนาจกับจีนและการต่อสู้กับปากีสถานที่ได้รับอาวุธจากจีนเป็นเรื่องหลักในทางภูมิรัฐศาสตร์ จนเกิดภาพเปรียบเทียบกรายๆกับกรณีกัมพูชา และทั้ง ๆ ที่กัมพูชาถือเป็นรัฐที่รับอารยธรรมอินเดียแต่ครั้งโบราณกาล แต่ทุกวันนี้ กัมพูชาคือฐานยุทธศาสตร์หลักของจีนในเอเชีย
สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย ญี่ปุ่นและอินเดีย คือรัฐมหาอำนาจบนเวทีการเมืองเอเชียที่เข้ามาโลดแล่นในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หากแต่รัฐมหาอำนาจเหล่านี้ ก็ยังไม่มีนโยบายเลือกข้างสนับสนุนทั้งไทยและกัมพูชาแบบเด่นชัด
แต่หากพิจารณารัฐอื่นๆเพิ่มเติมอย่างฝรั่งเศสและเกาหลีใต้ ก็อาจพอเห็นภาพของการเอนเอียงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนขึ้นบ้าง ฝรั่งเศส คืออดีตเจ้าอาณานิคมที่เคยปกครองกัมพูชา โดยนับแต่ศึกปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ.2554 ทหารไทยใช้ปืนใหญ่ซีซ่าร์จากฝรั่งเศสเข้าต่อรบกับกัมพูชา แต่ล่าสุด กัมพูชาและฝรั่งเศส เห็นพ้องร่วมกันในการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในปี พ.ศ.2569 เพื่อกระชับความร่วมมือทั้งการทูต เศรษฐกิจและความมั่นคง
ส่วนเกาหลีใต้ ถือเป็นรัฐที่ส่งเสริมช่วยเหลือกัมพูชามาโดยตลอดทั้งในแง่เงินบริจาคเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและตลาดการท่องเที่ยว แต่ด้วยเหตุการณ์ที่ชาวเกาหลีใต้ถูกหลอกลวงเข้าไปทำงานหรือถูกคุมขังทรมานอยู่ในรังสแกมเมอร์ของกัมพูชา รวมถึงความซาบซึ้งของคนเกาหลีใต้ที่ประเทศไทยที่เคยส่งทหารไปช่วยรบในสงครามเกาหลี ก็ส่งผลให้เกาหลีใต้มีนโยบายที่ชัดเจนขึ้นในการแสวงหาความร่วมมือกับไทยและกดดันกัมพูชา
จากท่าทีของรัฐมหาอำนาจหลายชาติที่ยังไม่เลือกข้างหรือบางชาติที่เริ่มโน้มมาทางไทยหรือกัมพูชาบ้าง ก็ทำให้พอได้ข้อสรุปคร่าว ๆ ว่า ท่าทีของรัฐมหาอำนาจในการช่วยเหลือสนับสนุนไทยและกัมพูชายังมีลักษณะก้ำกึ่งใกล้เคียงกันอยู่ ทว่า ด้วยรูปแบบความสัมพันธ์แบบสมมาตรเช่นนี้นี่เองที่ทำให้ยุทธศาสตร์โลกล้อมไทยของรัฐบาลกัมพูชาไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควร เพราะไทยเองก็สามารถขยับโยกใช้ยุทธศาสตร์โลกล้อมเขมรได้ดุจเดียวกัน และเมื่อแนวรบการทูตของพนมเปญไม่ชนะตามคาด ทหารไทยจึงมีเวลาพอเพียงในการช่วงชิงพื้นที่ยุทธศาสตร์และทำลายกำลังรบของกัมพูชาจนเป็นแรงบีบคั้นให้กัมพูชาต้องขอเจรจาหยุดยิงจนนำไปสู่ “Joint Statement” ระหว่างไทยกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2568

นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์