Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
กล้อง OM System จาก Olympus ผู้บุกเบิก Mirrorless สู่จุดยืนใหม่

กล้อง OM System จาก Olympus ผู้บุกเบิก Mirrorless สู่จุดยืนใหม่

17 ก.ย. 68
10:37 น.
แชร์

ตำนาน Olympus และการเข้าสู่ยุคดิจิทัล

Olympus เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีบทบาทสำคัญในโลกการถ่ายภาพมานาน โดยเริ่มต้นจากชื่อเสียงในกล้องฟิล์มขนาดกะทัดรัด เช่น Olympus OM-1 ที่เป็นตำนาน SLR ขนาดเล็กในยุค 70s และกล้องตระกูล Pen ที่เจาะตลาดผู้ใช้ทั่วไป จุดแข็งของ Olympus คือความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่เล็ก เบา แต่ใช้งานจริงจังได้

เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล Olympus เป็นหนึ่งในแบรนด์แรก ๆ ที่ทำกล้อง Compact ดิจิทัลขายดีทั่วโลก เช่นตระกูล Camedia ที่ออกปีละหลายรุ่น และเป็นตัวเลือกยอดนิยมของผู้ใช้ทั่วไป ขณะเดียวกัน Olympus ยังลงเล่นตลาด Prosumer (กึ่งโปร) ด้วยกล้องที่ให้เลนส์ซูมอเนกประสงค์และฟีเจอร์เหนือกว่ากล้องคอมแพกต์ปกติ

ด้าน DSLR Olympus เปิดตัว E-System ในปี 2003 โดยเริ่มจาก Olympus E-1 ซึ่งใช้ระบบ Four Thirds ที่พัฒนาร่วมกับ Kodak แม้จะไม่ใหญ่เท่า Canon/Nikon แต่ก็เป็นระบบแรกที่ออกแบบมาเพื่อดิจิทัลโดยเฉพาะ ไม่ใช่การดัดแปลงจากฟิล์ม จุดเด่นคือบอดี้ที่แข็งแรง กันสภาพอากาศ และเลนส์ Zuiko Digital ที่คุณภาพสูง อย่างไรก็ตาม ขนาดเซนเซอร์ที่เล็กกว่าคู่แข่งทำให้ Olympus ต้องพยายามหาความต่างเพื่อแข่งขัน

ก้าวแรกสู่ Mirrorless: Olympus PEN และ OM-D

เมื่อกล้องคอมแพกต์เริ่มถูกสมาร์ทโฟนแย่งตลาด Olympus จึงเลือกเดินหน้าในเส้นทางใหม่ด้วย Mirrorless เปิดตัว PEN E-P1 (2009) หนึ่งในกล้อง Mirrorless รุ่นแรกของโลกที่ใช้ระบบ Micro Four Thirds (MFT) ซึ่งร่วมพัฒนากับ Panasonic จุดขายคือ กล้องเล็ก–เลนส์เล็ก แต่คุณภาพเหนือคอมแพกต์ และยังสามารถใช้เลนส์ร่วมกันได้ข้ามค่าย

ต่อมา Olympus สร้างชื่อเสียงอย่างจริงจังกับตระกูล OM-D โดยเฉพาะ E-M5 (2012) ที่เปิดตัวระบบกันสั่น 5 แกนเป็นครั้งแรกในโลก Mirrorless และกลายเป็น “เอกลักษณ์” ที่ผู้ใช้ยกย่องว่า กันสั่นดีที่สุด ณ เวลานั้น จน Olympus ครองใจช่างภาพสายท่องเที่ยว ภูมิทัศน์ และผู้ที่ต้องการกล้องเบาแต่ได้คุณภาพไฟล์ใกล้เคียง DSLR

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นผู้บุกเบิก Mirrorless แต่การแข่งขันที่ดุเดือดจาก Sony (Full Frame), Fujifilm (APS-C) และการตามมาของ Canon/Nikon ทำให้ Olympus เริ่มเสียพื้นที่ในตลาดระดับโปร เพราะกระแสผู้ใช้หันไปหากล้องที่ใช้เซนเซอร์ใหญ่กว่า

ความท้าทายและการเปลี่ยนเจ้าของ

แม้ Olympus จะเป็นผู้บุกเบิกตลาด Mirrorless มาตั้งแต่ปี 2009 แต่การแข่งขันกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อ Sony, Fujifilm, และภายหลัง Canon/Nikon ลงมาเล่นตลาดนี้อย่างจริงจัง โดยเน้น APS-C และ Full Frame ที่ให้คุณภาพไฟล์สูงกว่า ในขณะที่ Olympus ยังยืนหยัดกับระบบ Micro Four Thirds (MFT) แม้จะมีจุดแข็งเรื่อง เล็ก เบา และเลนส์เทเลที่คล่องตัว แต่ผู้ใช้จำนวนมากเริ่มมองว่า “คุณภาพภาพสู้ Full Frame ไม่ได้” โดยเฉพาะในยุคที่ Creator และมืออาชีพคาดหวังคุณภาพวิดีโอ 4K/8K และ Dynamic Range ที่กว้างขึ้น

แรงกดดันทั้งจากยอดขายที่หดตัวและการแข่งขันที่ดุเดือดทำให้ Olympus ตัดสินใจครั้งใหญ่ ในปี 2020 บริษัทขายธุรกิจ Imaging ให้กับ Japan Industrial Partners (JIP) และรีแบรนด์ใหม่เป็น OM Digital Solutions แม้ชื่อ Olympus จะค่อย ๆ ถูกยกเลิก แต่บริษัทใหม่ยังคงสานต่อมรดกเดิมด้วยชื่อ OM System เพื่อย้ำถึงรากฐานที่มาจากกล้อง OM ฟิล์มในตำนาน

การหาตัวตนใหม่ของ OM System

หลังจากเปลี่ยนผ่านเป็น OM Digital Solutions และใช้ชื่อแบรนด์ OM System บริษัทเริ่มเดินหน้าสร้างตัวตนใหม่ที่ชัดเจนมากขึ้น โดยโฟกัสไปที่จุดแข็งดั้งเดิมคือ เล็ก เบา คล่องตัว และทนทาน ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มผู้ใช้เฉพาะทาง เช่น ช่างภาพท่องเที่ยว ธรรมชาติ และสัตว์ป่า

ปี 2022 ถือเป็นก้าวสำคัญกับการเปิดตัว OM-1 ที่ชูชื่อในตำนานอีกครั้ง มาพร้อมเซนเซอร์ Stacked BSI MFT รุ่นใหม่ กันสั่น 8 stop, ถ่ายต่อเนื่องได้สูงสุด 120 fps และระบบ AI Subject Detection ที่ทำให้การติดตามวัตถุแม่นยำยิ่งขึ้น ต่อมา OM-5 (2022) ออกมาในขนาดเล็กกว่าและราคาย่อมเยา เจาะตลาดกึ่งมือสมัครเล่นที่อยากได้กล้องพกพา แต่ยังจริงจังกับการถ่ายภาพ

ในปี 2024 OM System อัปเกรด OM-1 Mark II เพิ่มประสิทธิภาพด้าน Dynamic Range และระบบ AI AF ที่ฉลาดขึ้น พร้อมทั้งเปิดตัว OM-3 และ OM-5 II ที่ทำให้กลุ่ม Middle Market มีตัวเลือกหลากหลายมากขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนความพยายามของ OM System ที่จะสร้าง Ecosystem ต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้แข่งด้านขนาดเซนเซอร์โดยตรงกับ Full Frame

Micro Four Thirds: เมาท์ร่วมที่สร้าง Ecosystem ใหญ่ที่สุด

อีกหนึ่งจุดแข็งที่ Olympus (ปัจจุบันคือ OM System) วางรากฐานไว้ตั้งแต่ปี 2008 คือการพัฒนา มาตรฐาน Micro Four Thirds (MFT) ร่วมกับ Panasonic จุดเด่นของระบบนี้คือ เลนส์และบอดี้ใช้ร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ใช้จึงมีทางเลือกหลากหลาย ตั้งแต่ Panasonic Lumix GH Series ที่เด่นเรื่องวิดีโอ ไปจนถึง OM System ที่ขึ้นชื่อเรื่องภาพนิ่ง กันสั่น และการป้องกันสภาพอากาศ

ที่สำคัญ ระบบ MFT ยัง เปิดกว้างให้ Third Party เข้ามาร่วมพัฒนาอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น Sigma, Tamron, Laowa, Samyang ไปจนถึงเลนส์เฉพาะทางจากผู้ผลิตรายเล็ก ตั้งแต่เลนส์ Manual ราคาประหยัด ไปจนถึงเลนส์ Cinema เกรดโปร ทำให้ปัจจุบัน MFT เป็นหนึ่งใน เมาท์ที่มีเลนส์ให้เลือกมากที่สุด ทั้งด้านจำนวน รุ่น ราคา และความหลากหลาย ตั้งแต่เลนส์ Wide สำหรับ Landscape, Telephoto สำหรับ Wildlife ไปจนถึง Macro ที่เจาะกลุ่มเฉพาะซึ่งคู่แข่งไม่ทำ

ด้วยการรวมพลังของ OM System + Panasonic + Third Party ทำให้แม้ MFT จะเป็นเซนเซอร์เล็ก แต่ในเชิง Ecosystem กลับมีความครบถ้วนและยืดหยุ่น ตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์เฉพาะทาง

จุดแข็ง–จุดอ่อน และตลาดเฉพาะของ OM System

จุดแข็ง ที่ OM System ยังคงรักษาได้ คือความกะทัดรัด น้ำหนักเบา และการป้องกันสภาพอากาศที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่างภาพสายท่องเที่ยวและธรรมชาติให้ความสำคัญมาก เลนส์ MFT ของ OM System ครอบคลุมตั้งแต่มุมกว้างจนถึง Telephoto โดยเฉพาะในสาย Wildlife และ Macro ที่ได้เปรียบจาก Crop Factor 2x ของ MFT

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเลนส์ M.Zuiko 300mm f/4 IS PRO ซึ่งเมื่อคูณ Crop Factor แล้วได้เทียบเท่า 600mm บน Full Frame แต่มีน้ำหนักเพียง 1.27 กก. เท่านั้น ขณะที่เลนส์ 600mm f/4 ของ Canon หรือ Nikon มักมีน้ำหนักมากกว่า 3 กก. และราคาสูงกว่าหลายเท่า นอกจากนี้ยังมีเลนส์ซูมอย่าง M.Zuiko 150–400mm f/4.5 TC1.25x IS PRO ที่ให้ระยะเทียบเท่า 300–1000mm บน Full Frame แต่หนักเพียง 1.8 กก. ทำให้การถ่ายนกหรือสัตว์ป่าที่ต้องเดินทางไกล กลายเป็นเรื่องที่คล่องตัวกว่ามากเมื่อเทียบกับการแบกเลนส์ Full Frame ขนาดใหญ่

อีกหนึ่งข้อดีของ เซนเซอร์ MFT ที่เล็กกว่า คือการจัดการความร้อนและการอ่านข้อมูลที่รวดเร็ว ส่งผลให้งานวิดีโอทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล้องรุ่นโปรอย่าง OM-1 Mark II สามารถถ่ายวิดีโอ 4K 60p หรือแม้กระทั่ง RAW Video ได้โดยไม่เกิดปัญหา Overheat เหมือนที่มักเจอในกล้อง Full Frame ขนาดเล็ก ข้อดีนี้ทำให้ OM System เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับ Creator ที่อยากได้กล้องเล็ก เบา แต่ยังรองรับงานวิดีโอจริงจังได้

อีกหนึ่งตลาดที่ OM System ยังคงรักษาฐานผู้ใช้ได้ดีคือกล้อง Tough Series โดยล่าสุด TG-7 (2023) ยังคงเป็นหนึ่งในกล้องกันน้ำและกันกระแทกที่ทนทานที่สุดในตลาด สามารถลงน้ำได้ลึกโดยไม่ต้องใช้ Housing และยังมีโหมด Macro/Underwater สำหรับสายผจญภัยโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นตลาด Niche ที่คู่แข่งแทบไม่เหลือแล้ว

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อน ยังคงเป็นภาพลักษณ์ของเซนเซอร์ MFT ที่ถูกมองว่าไฟล์และโบเก้ด้อยกว่า Full Frame โดยเฉพาะในกลุ่ม Creator และสาย Commercial ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพสูงสุดด้านภาพนิ่งและวิดีโอ ทำให้ OM System ไม่สามารถแข่งในตลาดนั้นได้โดยตรง

บทสรุป: ทางเลือกที่แตกต่าง

แม้ Olympus จะผ่านความเปลี่ยนแปลงใหญ่จนต้องเปลี่ยนเจ้าของ แต่ในนาม OM System แบรนด์ยังคงยืนหยัดและหาตัวตนใหม่ในตลาดที่แข่งขันรุนแรง จุดแข็งเรื่อง เล็ก เบา ทนทาน และไลน์กล้องเฉพาะทางอย่าง OM-1 II, OM-5 II, OM-3 รวมถึง Tough TG-7 ช่วยตอกย้ำความแตกต่าง และทำให้ OM System กลายเป็นตัวเลือกที่ไม่ซ้ำใคร อีกทั้ง OM System ยังได้รับการยอมรับมายาวนานว่าเป็นหนึ่งใน ผู้เชี่ยวชาญด้าน Weather Sealing ที่ดีที่สุดในวงการ กล้องและเลนส์ถูกออกแบบให้ทนฝน ทนฝุ่น และสภาพอากาศสุดขั้ว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับช่างภาพสายท่องเที่ยว ธรรมชาติ และสัตว์ป่า ที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่กล้องทั่วไปไปไม่ถึง

ในประเทศไทย หากคุณอยากสัมผัสกล้อง OM System รุ่นล่าสุดหรือต้องการคำปรึกษาในการเลือกเลนส์และอุปกรณ์เสริม EC MALL คือพาร์ตเนอร์ที่คุณวางใจได้ ร้านขายกล้องที่เปิดมานานกว่า 23ปี ด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายที่มีสินค้าแท้ ประกันศูนย์ไทย และบริการหลังการขายที่มืออาชีพ EC MALL พร้อมช่วยให้คุณค้นพบตัวตนใหม่ของ OM System ได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นช่างภาพสายเดินทาง นักถ่ายธรรมชาติ หรือ Creator ที่อยากได้กล้องเล็กแต่จริงจัง ที่นี่คือจุดหมายที่พร้อมไปกับคุณในทุกเส้นทางการถ่ายภาพ

Advertisement

แชร์
กล้อง OM System จาก Olympus ผู้บุกเบิก Mirrorless สู่จุดยืนใหม่