Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
“วังหว้า” เปลี่ยนกลิ่นเหม็นบนเส้นทางขยะ สู่ชุมชนต้นแบบจัดการขยะยั่งยืน

“วังหว้า” เปลี่ยนกลิ่นเหม็นบนเส้นทางขยะ สู่ชุมชนต้นแบบจัดการขยะยั่งยืน

4 ก.ย. 68
11:25 น.
แชร์

ขณะที่คนกรุงเทพฯ กำลังเตรียมนับถอยหลังเพื่อเข้าสู่โหมดแยกขยะก่อนทิ้ง แต่สำหรับ “วังหว้า” ชุมชนเล็ก ๆ ในจังหวัดระยอง ที่มีสมาชิกเพียง 500 หลังคาเรือนกลับรู้จักการแยกขยะมานานนับสิบปีแล้ว จนปัจจุบันได้รับยกย่องให้เป็นชุมชนต้นแบบที่นำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างครบวงจร แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้นั้นพวกเขาต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองจากศูนย์

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน คนในชุมชนบ้านเอื้ออาทรวังหว้า รู้จักแต่เพียงคำว่า “ทิ้งขยะ” เท่านั้น ขยะจากทุกครัวเรือนถูกทิ้งไม่เป็นที่เป็นทางส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วหมู่บ้าน แถมยังมีขยะตกค้างที่กองทับถมกันไปทุกซอกซอย

“ทุกคนไม่ทิ้งขยะในจุดที่ควรทิ้ง เลยมีขยะตกค้างส่งกลิ่นเหม็นไปทั้งหมู่บ้าน จนผมตัดสินใจว่าอยู่ไม่ได้แล้วย้ายบ้านดีกว่า” สายัณห์ รุ่งเรือง ผู้นำชุมชนฯ เล่าถึงวันที่สิ้นหวังกับชุมชนแห่งนี้

แต่ด้วยความที่มีความผูกพันกับคนในชุมชนมานานปี เขาจึงคิดว่าจะลองไปขอความช่วยเหลือจากเทศบาลในฐานะ ‘ผู้ประสบภัย’ ดีกว่า “ผมไปคุยกับ ผอ.กองสาธารณสุข ท่านก็ให้กำลังใจบอกว่าน้องเรื่องขยะมันจัดการยาก ในเขตเทศบาลเรา ยังไม่มีชุมชนไหนที่จัดการขยะได้เลย”

เมื่อได้ฟังคำตอบเช่นนี้ สายัณห์ รู้สึกเหมือนตัวเองยืนต่อสู้อยู่เพียงลำพังท่ามกลางกองขยะที่กำลังส่งกลิ่นเหม็นมากขึ้นทุกวัน แต่ด้วยความตั้งใจแน่วแน่เขาจึงรวมตัวกับอาสาสมัครในชุมชน 19 คน เริ่มด้วยการเข้าไปค้นหาข้อมูลเรื่องแยกขยะในโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง จนในที่สุดเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ เมื่อไปพบเรื่องโครงการพระราชดำริฯ แหลมผักเบี้ยที่เพชรบุรี พวกเขาจึงตัดสินใจควักเงินส่วนตัวเดินทางไปดูงานทันที

“ที่เราสนใจโครงการนี้เพราะตรงกับปัญหาของชุมชนของเรา คือขยะอินทรีย์ที่จัดการไม่ได้ แล้วส่งกลิ่นเหม็นไปทั้งชุมชน ในโครงการแหลมผักเบี้ย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านพูดถึงการกำจัดขยะอินทรีย์โดยไม่ต้องฝังดิน กลับมาได้เดือนเดียวเราสร้างบ่อขยะเลย”

ทุกวันนี้ขยะอินทรีย์ของชุมชนถูกนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์น้ำปุ๋ยหมักและอื่น ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้คนในชุมชนอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อชุมชนแยกขยะเปียกออกได้ จึงช่วยลดการปนเปื้อนของพลาสติกใช้แล้วและขยะรีไซเคิลอื่น ๆ ไปตามกัน ดังนั้น ขยะรีไซเคิลและขยะทั่วไปที่กองสุมเต็มหมู่บ้าน คือเป้าหมายต่อไปที่จะต้องจัดการและปลายทางของโครงการนี้ที่สายัณห์บอกกับลูกบ้านทุกคน “เราจะเป็นชุมชนที่ไม่มีถังขยะ”

“แม้ว่าเราจะมีความรู้เรื่องการคัดแยกประเภทขยะสอนให้กับชาวบ้านสามารถแยกได้ถูกต้องแล้ว แต่เราต้องสร้างองค์ความรู้คือการบริหารจัดการขยะทุกประเภทด้วย เราถึงจะทำให้ขยะหมดไปจากชุมชนได้”

แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้สู้ตามลำพังอีกแล้ว เพราะมีหลาย ๆ องค์กรที่เห็นความพยายามและเข้ามาช่วยส่งเสริม เช่น กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ได้เข้ามาถ่ายทอดองค์ความรู้พร้อมสนับสนุนงบประมาณ ทำให้คนในชุมชนมีความรู้ในการแยกพลาสติกใช้แล้วประเภทต่าง ๆ เดิมทีขายรวม ๆ กันได้กิโลละแค่ 2-3 บาท แต่ถ้าแยกประเภทให้ถูกต้อง บางอย่างสามารถขายได้ถึงกิโลละ 22 บาท

ทุกวันอาทิตย์เป็นวันนัดให้ทุกครัวเรือนในชุมชนนำขยะที่คัดแยกไว้เพื่อมาขายให้แก่ “ธนาคารขยะ” ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับซื้อขยะรีไซเคิลทุกประเภท และให้ราคารับซื้อสูงกว่าซาเล้งที่เข้ามารับซื้อประจำในหมู่บ้าน

สายัณห์ เล่าถึงบทบาทของ “ธนาคารขยะ” ที่พวกเขาจัดตั้งขึ้นว่า “ธนาคารขยะไม่ได้แลกขยะเป็นเงิน แต่เราให้เป็นของกินของใช้ภายในครัวเรือนในราคาต้นทุนที่ดีกว่าร้านค้าข้างนอก เพื่อจูงใจให้ทุกคนมองว่าขยะมีมูลค่า สามารถแลกเป็นมาม่า น้ำปลาได้ เปลี่ยนเป็นแต้มสะสมที่คนในชุมชนนำไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟแทนได้เลย วิธีนี้ทำให้ธนาคารประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นเลย ปัจจุบันนี้เรามีสมาชิกเกือบ 100% ในชุมชน”

“ผมยังตกใจลยว่า 1 ปี เราสามารถทำให้ขยะลดลงไปมากจากชุมชน เพราะเราเริ่มต้นจากสมาชิกเพียง 19 คนเท่านั้น มันเร็วเกินคาด แล้วตอนนั้นพวกเราไฟแรงมาก เพราะเราสามารถสร้างต้นแบบการกำจัดขยะในแบบของเราเองได้สำเร็จ ผมก็เลยส่งเข้าประกวดชุมชนต้นแบบเรื่องขยะระดับจังหวัด กับกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรฯ”

บนเส้นทางยากลำบากที่ต้องต่อสู้กับกลิ่นเหม็นของกองขยะ แต่รางวัลแห่งความสำเร็จกลับหอมหวานช่วยให้ใจฟูมาก

“ตอนนั้นเราได้รับรางวัลชมเชยเป็นครั้งแรก คือแบบดีใจน้ำตาไหลเลย เพราะไม่ได้คาดคิดว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ เชื่อไหมว่าพวกเรายังกลับไม่ถึงบ้านก็มีคนโทรเข้ามาเพื่อขอสัมภาษณ์และขอมาดูงานที่ชุมชนเราแล้ว”

จากวันนั้นถึงวันนี้ ชุมชนวังหว้ากลายเป็นต้นแบบการกำจัดขยะแบบยั่งยืนที่มีหน่วยงานต่าง ๆ มาขอดูงานทุกวัน ขณะที่ผู้นำและชุมชนก็ร่วมมือกันปรับปรุงพัฒนาไม่หยุดทำให้สามารถกวาดรางวัลมาทุกเวทีกว่า 20 รางวัล กลายเป็นความภาคภูมิใจของชุมชนอย่างมาก

แม้จะกวาดรางวัลมามากมาย แต่ชุมชนวังหว้าไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น พวกเขาเริ่มต่อยอดด้วยการรับซื้อขยะจากนอกชุมชนนำมาแปรรูปขยะให้กลายเป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนมากขึ้น โดยมีหน่วยงานเอกชนเข้ามาสนับสนุนงบประมาณเครื่องจักรสำหรับแปรรูปพลาสติก อาทิ ตะกร้าสานจากพลาสติกรีไซเคิล อิฐตัวหนอนผสมพลาสติกใช้แล้ว และล่าสุดแปรรูปฝาขวดน้ำมาเป็นที่วางโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ

และกำลังสำคัญที่จะทำให้โครงการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งคือกลุ่มเปราะบางทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ และคนที่เคยใช้สารเสพติดมาก่อน

“เราร่วมมือกับ Dow ที่เข้ามาสนับสนุนองค์ความรู้และอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงสอนกลุ่มเปราะบางในชุมชนให้แยกขยะง่าย ๆ แรก ๆ พวกเขาไม่รู้ว่าพลาสติกชนิดนั้นเป็น PP เป็นไฮเดน (High-Density Polyethylene) แต่แค่ใช้มือจับก็รู้ว่าจะต้องโยนไปอยู่ในตะกร้าไหนได้ถูกต้อง แต่ทุกวันนี้ สามารถจับและแยกระบุประเภทได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ”

“ป้าเย็น” เป็นหนึ่งในตัวอย่างของกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนที่ปกติอยู่บ้านเลี้ยงหลาน แต่กรรมการชุมชนต้องการให้กลุ่มสูงอายุเปราะบางมีรายได้เสริม จึงชวนป้าเย็นมาช่วยแยกขยะ จากครั้งแรกที่บ่ายเบี่ยง ปัจจุบันป้าเย็นมีรายได้เสริมจากการแยกขยะอย่างน้อยเดือนละ 3-4 พันบาท นอกจากนี้ป้าเย็นยังมีอาชีพเสริมจากการสานตะกร้าจากพลาสติกรีไซเคิลหรือทำหมวกจากกล่องกระดาษอีกด้วย

“ตอนนี้ถ้าเทศบาลเปิดหลักสูตรสอนอาชีพ ป้าเย็นก็ได้รับเชิญไปเป็นครูสอน แต่ถ้าวันไหนมีคณะมาดูงานที่ชุมชนวังหว้า ป้าเย็นก็จะมานั่งสอนเด็ก ๆ ให้สานตะกร้า แกมีความสุขที่ได้สอนคนนะ”

แล้วความสุขของสายัณห์และกลุ่มก่อตั้งคืออะไร “ความสุขของเราคือส่งต่อแนวคิดชุมชนต้นแบบปลอดขยะไปสู่เยาวชนและชุมชนอื่น ๆ ตอนนี้พวกเราต้องเดินทางเหนือจรดใต้ไปส่งต่อความรู้ ประสบการณ์ และวางแผนให้แต่ละชุมชนที่เขาเชิญมา รวมทั้งกำลังสร้างคนต้นแบบที่จะมาต่อสู้กับเรื่องขยะและสิ่งแวดล้อมต่อจากพวกเรา เปรียบดั่งกับต้นไม้ใหญ่เพียงต้นเดียวไม่สามารถทนลมกระโชกได้ยาวนานเพียงลำพัง จำเป็นต้องมีต้นไม้อื่น ๆ ที่แข็งแรงล้อมรอบเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและหยั่งรากลึก พร้อมที่จะต่อกรกับสภาพอากาศที่แปรปรวนไปด้วยกัน”

เมื่อให้สรุปผลประกอบการของชุมชนวังหว้าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สายัณห์กล่าวสั้น ๆ ว่า “เรามาไกลมากแล้ว และไม่สามารถย้อนกลับไปจุดนั้นได้อีก คือถ้าวันนี้ไม่มีผู้นำชุมชนอย่างพวกผม ที่นี่ก็จะไม่มีถังขยะกลับมาอีกแล้วเพราะเราคือหมู่บ้านปลอดถังขยะที่ขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืนจริง ๆ”

Advertisement

แชร์
“วังหว้า” เปลี่ยนกลิ่นเหม็นบนเส้นทางขยะ สู่ชุมชนต้นแบบจัดการขยะยั่งยืน