
ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ออกมาเปิดเผย ประเด็นดราม่าเกี่ยวกับปัญหามากมาย การเป็นเจ้าภาพของประเทศไทย จัดการแข่งขัน ซีเกมส์2025 หรือ ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-20 ธ.ค. นี้ ผ่านรายการ กรรมกรข่าว ของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกร และผู้ประกาศข่าวชื่อดัง โดยมีเนื้อหาที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรง ทั้งเรื่อง ลำโพงในสนามไม่ดัง (คู่เปิดสนามฟุตบอลชาย) , ไฟสนามที่ขาดไป, การว่าจ้างเอกชนดำเนินการเรื่องพิธีเปิดการแข่งขัน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และความไม่เสถียรทางการเมืองทำให้การดำเนินการจัดซีเกมส์ เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง
ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการีฬาแห่งประเทศไทย เผยว่า เรื่องลำโพง ในการแข่งขันฟุตบอลชาย ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 คู่ระหว่าง เวียดนา พบ ลาว ที่สนามราชมังคลากีฬาถสาน ไม่ดัง เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่ผ่านมา ไม่ดังระหว่างร้องเพลงชาติ ของทั้งสองทีม นั้น เป็นเรื่องของความผิดพลาดทางเทคนิค โดยซีเกมส์ ครั้งนี้ จัดขึ้น 50 ชนิดกีฬา กระจายให้สมาคมแต่ละกีฬา รับผิดชอบทั้งด้านเทคนิค และการแข่งจัดการแข่งขัน แต่พอเกิดเหตุดังกล่าว ก็ลงพื้นที่ไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่คอนโทรลเสียงของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ก็ให้คำตอบว่า ตอนทดสอบเสียงออกตามปกติทุกอย่าง แต่ตอนเอาจริง เขาฟังในหูฟังเสียงเพลงก็ออก แต่ปรากฎว่าไม่ออกในสนาม ก็พยายามแก้ไข แต่แมตช์มันต้องเริ่มแล้ว เลยแก้ไขไม่ทัน ซึ่งก็ได้กำชับไปว่า ต่อไปต้องมีเครื่องเสียงสำรอง ไว้แก้ไขสถานการณ์ เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก จากนั้น ก็ทำหนังสือจาก กกท. ขอโทษ เวียดนาม และลาวไปแล้ว ว่ายืนยันว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก
ผู้ว่าฯกกท. เผยต่อว่า "เรื่องไฟในสนามราชมังคลากีฬาสถาน ที่แหว่งไป จริง ๆ แม้จะขาดบางดวงไป แต่ไฟที่มีอยู่ก็ยังเกินมาตรฐานการแข่งขัน คือไม่ต่ำกว่า 1,500 ลักซ์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำอยู่ ดำเนินอยู่ คือได้มาตรฐานแข่งขันแล้ว ส่วนเรื่องที่ต้องสั่งเอาไฟจากสนามที่นครราชสีมา มาเติมให้ครบ ต้องชี้แจงว่า กกท. มีสนามที่รับผิดชอบอยู่ประมาณ 20 สนามทั่วประเทศ เราสามารถโยกย้ายเปลี่ยนกันได้ วันนี้ก็เร่งดำเนินการให้มันครบให้หมด ไม่งั้นจะมีดราม่า มีอะไรอีก แต่ยืนยันว่าปกติแล้วการแข่งขันจะดูที่ความสว่างเพียงพอหรือไม่เป็นหลัก เพียงแต่อาจจะดูไม่เรียบร้อย มีแหว่ง แต่เพื่อไม่ให้มีประเด็น ก็สั่งการให้มาติด เพื่อไม่ให้มีประเด็นมาถกเถียงกัน"
"เราต้องบริหารงบประมาณ อย่างยากลำบาก งบประมาณการการจัดซีเกมส์ของ ประเทศไทยน้อยกว่า ซีเกมส์ ที่กัมพูชา ครั้งก่อนอีก ซึ่งด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณด้วย รวมถึงมีกรณีย้ายสนามจาก สงขลา ซึ่งเกิดอุบัติภัย ย้ายมาที่กทม. และชลบุรี ก็มีการใช้งบประมาณเพิ่มเติมอีก 160 กว่าล้านบาท ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ เราจะไปของบกลางไม่ได้ เพราะเงินส่วนใหญ่ต้องไปใช้ช่วยน้ำท่วมก่อน เราก็ต้องมีข้อจำกัดในการประหยัดเงินให้มากที่สุด แต่ไฟไม่ใช่เรื่องที่เราละเลยในมาตรฐาน เพราะได้มาตรฐานอยู่แล้ว แต่วันนี้ก็สั่งการให้ทำให้หมดแล้ว"
"เรื่องงบประมาณจัดที่น้อยกว่าซีเกมส์ครั้งก่อนนั้น กัมพูชาใช้งบ 3,000 กว่าล้านบาท เราใช้ 2,000 กว่าล้านบาท ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราไม่ต้องสร้างสนามกีฬาใหม่ เพราะโครงสร้างพื้นฐานเรามีอยู่แล้ว เพียงแต่รีโนเวท ให้อยู่สภาพที่แข่งได้ รวมถึงพิธีเปิด พิธีปิด เราก็ได้งบประมาณน้อยกว่า นี่ก็เป็นภาพรวม และจริงๆ ถ้าจะบอกว่าภาพรวมของซีเกมส์ ก็คงไม่ใช่ แต่เป็นปัญหาของวงการกีฬาเลย ที่ได้เงินสนับสนุนจากภาครัฐ น้อยกว่าที่ควรจะเป็น วันนี้ต้องพูดกันอย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะทำออกมาไม่ดี ในพิธีเปิดจะได้เห็นว่าอาจไม่ได้มีแสงสีอลังการ แต่ก็จะทำออกมา ให้มีความงดงาม สมพระเกียรติฯ เราจะดำเนินการให้สมกับที่ประเทศไทย ไม่ได้เป็นเจ้าภาพมา 18 ปี รับรองว่าไม่แพ้กัมพูชา หรือชาติอื่นๆแน่นอน"
ดร.ก้องศักดิ เผยถึงประเด็นเรื่องการจัดจ้างทำพิธีเปิด ซึ่งมีเฟซบุ๊กรายหนึ่งออกมาแฉ ทำนองที่ว่าโดนยกเลิกงาน ทำให้สูญเสียเงินทุน ว่า สำหรับพิธีเปิด เราต้องทำงานกันล่วงหน้า แต่การจัดซื้อจัดจ้างยังไม่ได้เกิดขึ้น เนื่องจากเราทราบดีว่า งบประมาณการจัดซื้อจัดจ้างพิธีเปิด มันจะอยู่ในปีงบประมาณ 69 แต่ในการเตรียมการล่วงหน้าเราก็เปิดให้เอกชนที่มีความสนใจเข้ามาร่วมเสนองาน ซึ่งมีทั้งหมด 4 เจ้า ก็ต้องขอบคุณทุกเจ้าจริงๆ ที่เขาได้ไปสำรวจสนาม เสียค่าใช้จ่าย ทั้งที่ไม่ได้มีสัญญา และมีความตั้งใจในการพรีเซนต์งานออกมาให้ดีที่สุด เพราะเขาทราบดี เวลาจัดกิจกรรมภาครัฐ จะต้องมีการแข่งขันกัน เพราะฉะนั้นใครที่มีความพร้อมมากกว่า ก็จะมีโอกาสสูงกว่าที่จะชนะในการคัดเลือก
"ที่ผ่านมา ทั้ง 4 เจ้าได้เตรียมการลงพื้นที่กันเอง เพื่อมานำเสนอภาครัฐ ส่วนการคัดเลือกต้องยอมรับเรามีการเปลี่ยนแปลงการเมืองบ่อยครั้ง บางครั้งอาจจะทำในสมัยหนึ่งที่ทีมการเมืองหนึ่งอาจจะชอบเจ้านั้น เจ้านี้มากกว่า แต่ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆทั้งสิ้น มันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน 4 บริษัท ที่นำเสนอมา ก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป มันก็อยู่ที่มุมมอง เพราะฉะนั้นคนที่ตัดสินใจ ในการที่จะคัดเลือก ก็ต้องมาดูว่าคอนเซปต์ไหน ที่ถูกใจ สง่างาม สวยงามที่สุด และตอนนี้ก็ตัดสินเรียบร้อยแล้ว มีการคัดเลือกเรียบร้อย ซึ่งไม่ใช่เจ้าที่เป็นประเด็น และยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องการล็อกสเป็ก อะไร แต่เป็นเรื่องของความพึงพอใจ ว่าใครดีที่สุด เหมาะสมที่สุด"
"ส่วนตัวชอบผลงานของหลายเจ้า ที่เลือกมาให้ทำพิธีเปิดผมก็ชอบ ที่เป็นข่าวผมก็ชอบ ก็เป็นคอนเซปต์ที่ดีเป็นธีมงานวัด ส่วนเจ้าที่ได้ก็เป็นอีกธีม ซึ่งเป็นการนำเสนอสิ่งดีๆของประเทศไทย และมีธีมเรื่องของกีฬาด้วย เอาศิลปิน ต่างๆ มาโชว์ครั้งนี้ ด้วย โดยวันที่ 7 ธ.ค. จะมีการแถลงข่าวเรื่องพิธีเปิด"
ส่วนเรื่องป้ายสปอนเซอร์ใหญ่เกินไปในสนามราชมังคลากีฬาสถาน ผู้ว่าฯกกท. ระบุว่า ได้สั่งเปลี่ยนแล้ว สั่งให้เอาออกแล้ว ก็ยอมรับว่าตนก็ไม่ชอบ ซึ่งการจัดการแข่งขันมันก็มีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยฝ่ายที่เขาดูเรื่องสิทธิประโยชน์ หรือลูกค้า เขาก็คงอยากที่จะให้ลูกค้าแฮปปี้ ให้ป้ายๆใหญ่ๆ เห็นชัดๆ แต่เมื่อดูสัญญาเกี่ยวกับสปอนเซอร์แล้ว การใช้ LED วิ่งรอบสนาม ก็เพียงพอแล้ว
ต่อข้อคำถามที่พิธีกร ถามว่า การเมืองทำ ให้เปลี่ยน มาสคอต หรือเปล่า โดย ผู้ว่าฯกกท. กล่าวว่า ก็ใช่ แต่ก็เป็นสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เดิมมาสคอตเป็นรูปคล้ายปลากัด พอเปลี่ยนรัฐบาลก็เป็นเดอะสาน 7 สี และพอเปลี่ยนอีกรัฐบาล ก็มีตัวธงชาติเข้ามา ซึ่งปัญหาหลักทุกอย่างจริงๆ คือความไม่แน่นอนทางการเมืองของประเทศไทย ด้วย เลยทำให้ มีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
“การเมืองมีทั้งการเปลี่ยนแปลงในทางดีในหลายๆ เรื่อง แต่พอมีการเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายก็เปลี่ยนไป การทำงานของผู้ปฏิบัติก็เปลี่ยนไปด้วย อย่างไรก็ตามรัฐมตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาคนปัจจุบัน ก็มุ่งมั่น ทำงานอย่างหนัก เพื่อให้ซีเกมส์ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
Advertisement