
หากใครที่ติดตามข่าวในพระราชสำนักก็จะได้เห็นพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก ที่เสด็จฯ เยือนประเทศไทย เพื่อทรงวางพวงมาลาถวายราชสักการะหน้าพระโกศพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ช่วงหนึ่งที่ทั้งสองพระองค์ ทรงวางพวงมาลาหน้าพระโกศ จะทรงถือผ้าขาวบางพระองค์ละผืน แล้วคล้องไปที่พวงมาลา ผ้าขาวผืนบางเรียกว่า "คะตะ" ( ཁ་བཏགས་ อ่านว่า คะ-ตัก ) ใช้ในวัฒนธรรมของชาวทิเบต ภูฏาน และชาวหิมาลัยบางกลุ่ม เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งไมตรีจิต ความบริสุทธิ์ใจ และการอวยพรอันเป็นมงคล เทียบได้กับ "พวงมาลัย" ในวัฒนธรรมไทย รวมทั้งอีกหลายวัฒนธรรมที่ภูมิประเทศเอื้อต่อการปลูกดอกไม้ แต่เนื่องจากในพื้นที่ราบสูงนั้น ดอกไม้ไม่ใช่ของที่หาได้ทั่วไป จึงใช้ผ้าคะตะ เป็นสัญลักษณ์ในการแสดงออกถึงความปรารถนาดีและความเคารพ
ผ้าคะตะ ส่วนมากทำจากไหม หรือ เส้นใยสังเคราะห์ มีสีขาวเป็นหลัก ซึ่งแทนความบริสุทธิ์ ความเมตตา และการตั้งเจตนาดีต่อผู้รับ ตามธรรมเนียม คะตะมักทำจากไหมหรือใยสังเคราะห์ สีขาวบริสุทธิ์ หรือบางครั้งเป็นสีทองและสีเงิน มีลวดลายมงคล เช่น รูป อัษฏมงคล (สัญลักษณ์มงคลแปดประการ) ซึ่งสื่อถึงโชคดี ความสุข และการปกป้องคุ้มครอง
ในชีวิตประจำวันและพิธีการสำคัญ คะตะจะถูนำมาใช้ถวายพระพุทธรูป รูปเคารพ พระสงฆ์ หรือครูบาอาจารย์ เพื่อแสดงความเคารพอย่างสูงสุด พร้อมทั้งขอพรให้ได้รับความคุ้มครองและความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังใช้มอบแก่แขกผู้มาเยือนในพิธีการต้อนรับ การแสดงความยินดีในโอกาสต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน การขึ้นบ้านใหม่ หรือการเปิดกิจการ รวมไปถึงพิธีอำลาและงานศพ เพื่อส่งมอบพรแห่งความสุข หรือขอให้การเดินทางและการเปลี่ยนผ่านเป็นไปด้วยความราบรื่น
ลักษณะการมอบคะตะนั้น เจ้าภาพจะถือผ้าด้วยสองมือ ยกขึ้นเหนืออกพร้อมก้มศีรษะเล็กน้อย แล้วมอบให้ผู้รับอย่างนอบน้อม หากเป็นการถวายต่อพระหรือผู้ใหญ่ ผู้รับอาจนำผืนผ้ามาคล้องกลับบนไหล่ของผู้มอบ หรือพาดไว้บนพระพุทธรูปและรูปเคารพเพื่อความเป็นสิริมงคล ธรรมเนียมการใช้คะตะจึงเปรียบเสมือนภาษาของใจ ที่ถ่ายทอดความปรารถนาดีอย่างบริสุทธิ์ผ่านผืนผ้าอันเรียบง่าย และเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันในทุกช่วงเวลาสำคัญของชีวิต
Advertisement