
(24 ต.ค. 2568) ที่จังหวัดศรีสะเกษ พ.ท.สุรศักดิ์ มณีศรี ผบ.ช.พัน.3 พล.ร.3 เปิดเผยถึงการสร้างหลุมหลบภัยเพิ่มเติมในพื้นที่ ว่า สำหรับงานก่อสร้างหลบภัยความจุ 40 คน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนหทิพย์ทัย โดยในพื้นที่กองกำลังสุรนารี จะมีการก่อสร้างทั้งหมด 7 แห่ง แบ่งเป็นในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี 2 แห่ง จังหวัดสุรินทร์ 2 แห่ง จังหวัดศรีสะเกษ 2 แห่ง และจังหวัดบุรีรัมย์ 1 แห่ง ซึ่งในส่วนของพื้นที่กองพันทหารช่างที่ 3 กองพลทหารราบที่ 3 รับผิดชอบนั้นอยู่ในพื้นที่ศรีสะเกษ 2 แห่ง อยู่ในอำเภอกันทรลักษณ์
สำหรับรูปแบบของการก่อสร้างนั้นจะเป็นการวางครอบบล็อกเหลี่ยม 2.1 x 2.1 เมตร จำนวน 2 ท่อน และจะมีกำแพงการดินรอบรอบ ในส่วนของการปฏิบัติในห้วงเวลาที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับผู้นำชุมชนสำรวจพื้นที่ในการปฏิบัติ ในปัจจุบันผลการปฏิบัติการคิดเป็น 12.5% กำลังวางท่อเหลี่ยม
เมื่อถามว่าบังเกอร์ดังกล่าวสามารถสร้างความปลอดภัยได้มากน้อยแค่ไหน พ.ท.สุรศักดิ์ ระบุว่า สามารถรับแรงอัดหรือแรงสเก็ดระเบิดได้ รวมถึงลูกกระสุนปืน155
เมื่อถามว่าใน 7 พื้นที่ดังกล่าวนี้เป็นเงินจากกองทุกหทัยทิพย์ 100% หรือไม่ พ.ท.สุรศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเงินของกองทุนหทัยทิพย์ 100% โดยหนึ่งหลุมค่ะวัดตามความจุสามารถรองรับประชาชนได้ 40 คน แต่หากยืนชิดกันก็จะได้มากถึง 60 คน
เมื่อถามว่าในจุดที่ทำบังเกอร์นี้ในช่วงที่มีเหตุการณ์ปะทะกันมีกระสุนมาตกบ้างหรือไม่ พ.ท.สุรศักดิ์ เปิดเผยว่า ก็มีกระจายในพื้นที่ แต่ในพื้นที่บ้านบริเวณที่สร้างบังเกอร์นั้นไม่มี โดยบ้านเรือนละแวกใกล้เคียงก็ได้รับความเสียหายจากกระสุน BM-21 ที่ตกลงมาบริเวณถนน
เมื่อถามว่าการเลือกพื้นที่สร้างบังเกอร์นั้นพิจารณาจากอะไร พ.ท.สุรศักดิ์ กล่าวว่า พิจารณาจากชุมชน โดยให้ชุมชนหารือกันว่าควรจะสร้างตรงไหน และมีนายอุดร ที่ได้เสียสละพื้นที่ส่วนตัวเพื่อส่วนรวมโดยให้สร้างในพื้นที่ของตัวเอง
เมื่อถามต่อว่าเรายังมีความต้องการในส่วนของอบรมภัยมากน้อยแค่ไหน พ.ท.สุรศักดิ์ ระบุว่า น่าจะมีความต้องการเพิ่มเติม แต่พยายามสร้างในจุดที่มีเกณฑ์เสี่ยงก่อน โดยหนึ่งหลุมใช้ระยะเวลาสร้างประมาณ 10 วัน ใช้งบประมาณจุดละ 500,000 บาท
ด้าน นายอุดร วงศ์ฮาม อายุ 54 ปี เจ้าของที่ดินที่ให้สร้างบังเกอร์ ชาว ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ เปิดเผยว่า ตนได้บริจาคพื้นที่ในการวางและสร้างบังเกอร์จำนวนพื้นที่ทั้งหมด 8x15 เมตรให้ทางทหารกองทัพบกใช้พื้นที่สร้างบังเกอร์ หลุมหลบภัยให้ประชาชน ซึ่งตนรู้สึกดีมากๆ และพร้อมต้อนรับพี่น้องเข้าสู่บังเกอร์แห่งนี้ โดยชาวบ้านในพื้นที่ก็ได้มาขอบคุณตน และบอกว่า "เดี๋ยวจะมาหลบภัยด้วย"
นายอุดร เล่าว่าในห้วงเวลาที่เกิดสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ตนยอมรับว่ารู้สึกกังวล แต่เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา ตนก็ไม่ได้หนีไปไหนและยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านแห่งนี้
สำหรับสาเหตุที่ทำไมต้องเป็นบ้านของนายอดุรนั้นเป็นเพราะว่า ตนนั้นมีพื้นที่อยู่และบอกทางการไปว่าหากฝั่งตรงข้างบ้านตนไม่สามารถสร้างบังเกอร์ได้ ตนก็อนุญาตให้กองทัพบกมาทำที่ฝั่งนี้ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านของตนได้
Advertisement