ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Karnpassorn Suriyasangpetch ซึ่งบอกว่า เป็นคนที่รู้จักกับหมอบี เผยภาพร่วมเฟรม ซึ่งในนั้นมี “อรอุ๋ง ” อยู่ด้วย โพสต์ข้อความเล่าความจริงอีกมุมเรื่องความสัมพันธ์ ”พ่อแม่ลูก“ ระบุว่า
ในฐานะที่รู้จักพี่บี หรือ"หมอบี" มายี่สิบกว่าปี เรารู้จักพี่บีตั้งแต่พี่บีเป็นนักศึกษา ตอนนั้นเรายังเป็นเด็กมัธยม ในค่าย White Love ค่ายละครต่อต้านยาเสพติด ภาพจำของเราคือพี่ชายที่ใจดี ตลก และคอยกวนประสาทอยู่เสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นที่ปรึกษาที่ดี ความมีน้ำใจของพี่บีทำให้เพื่อนสาวหลายคนแอบตกหลุมรัก ทั้งที่จริงแล้วพี่บีเป็นคนที่ไม่เคยคิดอะไรซับซ้อน ใครขอความช่วยเหลือก็ทำให้เสมอ จนอาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปเอง
ตั้งแต่รู้จักกันมา คนแรกและคนเดียวที่พี่บีตามจีบ เลิกกัน ตามง้อ จีบเป็นแฟน จนแต่งงาน ก็มีเพียงแค่คนเดียวคือพี่เอย
กาลเวลาผ่านไป เรายังคงติดต่อกันเป็นระยะ จนวันที่พี่บีกลับมาเมืองไทยและมีชื่อเสียงในฐานะ "หมอบี" เราเคยถามเขาตรงๆ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะโด่งดังว่า "ผีมีจริงไหม?" คำตอบที่ได้ในวันนั้นยังคงเหมือนเดิมจนถึงวันนี้ "ผีไม่มีจริงหรอก มีแต่ใจของคนที่ยังอยู่นี่แหละ ที่ต้องดูแล"
เราไม่ได้รู้จักพี่บีเพราะชื่อเสียงหรือเรื่องโชคลาง แต่รู้จักในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เรื่องงานจิตอาสาที่เราไปช่วยบ้าง ก็เพราะพี่บีอยากชวนไปร้องเพลงสร้างความสุขเล่นๆขำๆในงาน
ครั้งแรกที่เราได้เจอน้องอร พี่บีแนะนำกับเราว่า "นี่อร ลูกสาวบุญธรรม" ตลอดเวลาที่รู้จักกัน อรเป็นเด็กที่น่ารัก มีจิตใจดี และชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ อรมีความสนใจในงานจิตอาสาเป็นพิเศษ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมภาพในสื่อส่วนใหญ่จึงเป็นภาพของพี่บีกับอร เพราะพี่เอยไม่ได้มีความสนใจในกิจกรรมด้านนี้เท่าอร จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองจะออกงานด้วยกันบ่อยครั้ง
ในมุมของครอบครัว พวกเขาคือ "พ่อ แม่ ลูก" ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอถ้าไม่ใช่เรื่องงานหรืองานอาสา อรเรียกพี่บีว่า "ปะป๊า" และเรียกพี่เอยว่า "มะม๊า" ทุกครั้งที่เรานัดทานข้าวกัน พี่เอยจะมาด้วยเสมอ ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันด้วยความรักแบบครอบครัว
หลังจากที่พี่บีถูกจับ เราก็ชวนน้องว่าเหงาไหม มานอนกับเราได้นะ น้องปฏิเสธ บอกไม่อยากให้มะม๊าเหงา จะดูแลมะม๊า
ที่เราเขียนมาทั้งหมดนี้ เพราะอยากให้เห็นมุมมองจากคนที่รู้จักพวกเขามานาน ส่วนเรื่องคดีความต้องรอกระบวนการยุติธรรม เราไม่สามารถให้รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับคดีได้เพราะอาจกระทบต่อรูปคดี
สิ่งที่อยากฝากให้ทุกคนคิดคือ เราอาจกำลังตกอยู่ใน "กับดักทางความคิด" โดยไม่รู้ตัว
นักวิจัยจาก Stanford University เคยทำการทดลองที่น่าสนใจในปี 1979 (Lord, Ross, & Lepper) พบว่าคนเรามักเลือกเชื่อเฉพาะข้อมูลที่สอดคล้องกับความคิดเดิมของเราอย่างมาก นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Confirmation Bias คือกระบวนการทางความคิดที่ทำให้เราเลือกรับรู้และตีความเฉพาะข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อเดิมของเรา และมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้งไป ซึ่งการกรองข้อมูลนี้ทำให้ความเชื่อนั้นดูหนักแน่นและสมเหตุสมผลเกินจริง จนในที่สุด ความเชื่อที่ถูกตอกย้ำนี้จะไปกำหนด "การกระทำ" ของเราโดยตรง เราจึงแสดงออกต่อคนหรือสถานการณ์นั้นๆ ราวกับว่าความเชื่อของเราเป็นจริงไปแล้ว และการกระทำของเรานี่เองที่ไปผลักดันหรือเหนี่ยวนำให้เกิด "ผลลัพธ์" ในโลกความจริงที่ตรงกับความเชื่อตั้งต้นของเราเป๊ะๆ วงจรนี้คือสภาวะของ 'คำทำนายที่สมหวังด้วยตนเอง' (Self-Fulfilling Prophecy) ซึ่งก็คือการที่อคติในหัวของเราได้สร้างความจริงภายนอกขึ้นมานั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยเรื่อง Illusory Truth Effect จาก University of Toronto (Pennycook และคณะ, 2021) พบว่าถ้าเราเห็นข้อมูลเดิมซ้ำๆ แค่ 3 ครั้งขึ้นไป โอกาสที่เราจะเชื่อว่ามันเป็นความจริงจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งๆ ที่ข้อมูลนั้นอาจไม่ถูกต้อง
MIT ยังศึกษาการแพร่ข่าวบน Twitter (Vosoughi, Roy, & Aral, 2018) พบว่าข่าวเท็จแพร่เร็วกว่าข่าวจริงถึง 6 เท่า และมีโอกาสถูก retweet มากกว่าประมาณ 70%
นักจิตวิทยา Mike Caulfield จาก University of Washington แนะนำหลัก SIFT เพื่อป้องกันตัวเองจากกับดักเหล่านี้ คือ Stop หยุดคิดก่อนแชร์ Investigate ตรวจสอบแหล่งข่าว Find หาข้อมูลเพิ่มเติม และ Trace ตามหาต้นตอของข่าว มีงานวิจัยพบว่าการรอระยะเวลาหนึ่งก่อนตัดสินใจเชื่อหรือแชร์ข่าว สามารถลดการตัดสินผิดพลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ
เรื่องราวที่แชร์มานี้ ไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่อยากให้ทุกคนตระหนักว่า ในยุคข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว เราทุกคนเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของอคติทางความคิดโดยไม่รู้ตัว
ท้ายที่สุด ความยุติธรรมต้องมาจากหลักฐานและกระบวนการทางกฎหมาย ไม่ใช่จากกระแสสังคม ขอให้เราใช้สติและวิจารณญาณในการรับข้อมูล เป็นสังคมที่มีเหตุผลและรอฟังทุกฝ่ายก่อนตัดสิน
คำถามที่อยากทิ้งท้ายคือ "สิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นความจริง มันเป็นความจริง หรือเป็นแค่สิ่งที่เราอยากให้เป็นจริง?"
ข้อความข้างบนนี้เราส่งให้พี่เอย ภรรยาของพี่เอยเชคก่อนโพสแล้ว
ก็แล้วแต่ทุกท่านจะพิจารณา
เราเขียนสิ่งนี้ขึ้นเพื่อสื่อสารเฉพาะประเด็นชู้สาวเท่านั้นเพื่อความเป็นธรรมต่อครอบครัวของพี่บีที่ต้องสู้กับกระแสสังคมอยู่ในตอนนี้
Advertisement