ดัชนี SMESI มิ.ย. 68 ปรับลดลงต่อเนื่องแตะระดับค่าฐานที่ 50.0 สะท้อนความเชื่อมั่นที่อ่อนแรงลงจากกำลังซื้อหดตัว มาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ และจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ผู้ประกอบการคาดหวังมาตรการฟื้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (ดัชนี SMESI) ประจำเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับ 50.0 ปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับค่าฐานโดยลดลงจากระดับ 50.4 ในเดือนก่อนหน้า พบว่าค่าดัชนีความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นเริ่มแตกต่างจากค่าที่เคยคาดการณ์ไว้สะท้อนตามสภาพเศรษฐกิจจริง เป็นผลจากด้านอุปสงค์ เกิดการชะลอตัวของกำลังซื้อ ซึ่งเห็นได้จากพฤติกรรมการระมัดระวังการใช้จ่ายสินค้าที่ไม่จำเป็น ขณะที่ผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ยังคงส่งผลต่อภาคการผลิตที่แม้ยังมีการส่งออกต่อเนื่องแต่ก็มีความกังวลถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่อาจกระทบความสามารถในการแข่งขันในระยะต่อไป อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังหดตัว ทั้งหมดนี้กระทบต่อรายได้ของภาคธุรกิจโดยรวม และขาดปัจจัยสนับสนุนต่อการฟื้นตัวในระยะนี้ เมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบของดัชนี พบว่า องค์ประกอบส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง จากด้านคำสั่งซื้อโดยรวม ปริมาณการผลิต/การค้า/การบริการ และการลงทุน อยู่ที่ระดับ 51.8, 51.7 และ 49.5 ลดลงจากระดับ 54.4, 51.9 และ 50.2 ตามลำดับ ในขณะที่องค์ประกอบด้านแรงงานปรับกลับขึ้นมาที่ค่าฐานอยู่ที่ระดับ 50.0 จากระดับ 49.9 และด้านต้นทุนรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 45.6 จากระดับ 43.0
สำหรับดัชนี SMESI รายภาคธุรกิจ พบว่า ระดับความเชื่อมั่นทั้งหมดอยู่ต่ำกว่าหรือใกล้ระดับค่าฐานสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแรงและอุปสรรคที่กระทบต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจของทุกภาคธรุกิจ ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
ภาคการผลิต อยู่ที่ระดับ 49.9 ลดลงจากระดับ 50.2 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับค่าฐานจากกลุ่มที่มีการพึ่งพาธุรกิจรายใหญ่ที่มีการเร่งส่งออกไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่กลุ่มสินค้าไม่จำเป็นหดตัวตามความระมัดระวังการใช้จ่ายและยอดคำสั่งซื้อใหม่จากกลุ่มค้าส่งที่น้อยลง
ภาคการค้า อยู่ที่ระดับ 49.1 ลดลงจากระดับ 50.0 ในเดือนก่อนหน้าซึ่งลดลงต่ำว่าค่าฐานและต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับภาคธุรกิจอื่น จากการขาดกำลังซื้อ โดยเฉพาะการค้ารถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่หดตัวต่อเนื่องตามการระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย และความตึงตัวของสินเชื่อธนาคารกดดันยอดขายยานยนต์ใหม่
ภาคการบริการ อยู่ที่ระดับ 50.7 ลดลงจากระดับ 50.9 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากการเดินทางที่ลดลง รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงต่อเนื่อง ยังกดดันภาคการบริการ ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลที่ถูกตรึงราคาไว้ช่วยพยุงความเชื่อมั่นของธุรกิจที่เกี่ยวกับการขนส่งทั้งสิ่งของและบุคคล
ภาคธุรกิจการเกษตร อยู่ที่ระดับ 50.1 ลดลงจากระดับ 51.0 ในเดือนก่อนหน้า เป็นผลจากราคาสินค้าเกษตรปรับลดลงจากปริมาณผลผลิตในหลายพื้นที่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นเช่น ทุเรียนในพื้นที่ภาคใต้ ยางพารา หรือมะนาว เป็นต้น
สำหรับดัชนี SMESI รายภูมิภาค ค่าดัชนีความเชื่อมั่นระดับภูมิภาคเกือบทั้งหมดมีความเชื่อมั่นต่อภาพเศรษฐกิจต่ำกว่าค่าฐาน ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 49.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 48.2 แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าฐานสะท้อนถึงภาวะที่ผู้ประกอบการยังไม่ฟื้นความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในภาคการค้าและภาคการบริการ อย่างไรก็ดี ภาคการผลิตบางส่วนเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าจำเป็น เช่น การผลิตอาหาร และผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในห้องน้ำจำพวกสบู่ ผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาด เป็นต้น
ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 49.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 48.5 โดยระดับความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้น จากการแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะสาขาธุรกิจการเกษตรที่มีผลเสียหายต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ช่วยให้ความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่เสียหาย ช่วงพยุงสาขาการขายวัสดุก่อสร้าง และการก่อสร้างให้ปรับดีขึ้นในระยะสั้น
ดัชนีความเชื่อมั่นฯ เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 49.8 ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.9 ภาพรวมธุรกิจยังขาดความเชื่อมั่นต่อเนื่องโดยเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและบริการอาหารและเครื่องดื่มจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและปัญหาผลผลิตล้นตลาด (over supply) ขณะที่ภาคการผลิตลดกำลังการผลิต ตามผลของการเร่งส่งออกในช่วงไตรมาสแรก อีกทั้งกำลังซื้อภายในประเทศหดตัว
ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 49.9 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.9 โดยผู้บริโภคในพื้นที่ระมัดระวังการใช้จ่ายชัดเจนส่งผลให้ความเชื่อมั่นปรับตัวต่ำกว่าค่าฐาน ขณะที่ความเชื่อมั่นในกลุ่มธุรกิจอัญมณีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากบริการในรูปของการรับซื้อหรือรับฝากทอง ทำให้ผู้บริโภคมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นเน้นใช้จ่ายตามความจำเป็นในช่วงเปิดภาคเรียนระดับอุดมศึกษา ส่งผลให้การผลิตและการค้าสินค้าจำเป็นปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย
ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 49.3 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.6 จากช่วงต้นของฤดูมรสุม ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในพื้นที่ปรับตัวลงชัดเจนกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวในพื้นที่ ขณะที่เป็นช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวทุเรียนจึงสร้างรายได้และช่วยให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มสินค้าจำเป็นและกลุ่มอาหารเป็นหลัก
ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 51.2 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 53.2 แม้จะเป็นภูมิภาคเดียวที่ยังมีความเชื่อมั่นสูงกว่าค่าฐาน ตามจำนวนนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีนที่ลดลงแม้จะมีกลุ่มยุโรปที่มาพักอาศัยระยะยาว (Long-haul) ที่มีกำลังใช้จ่ายสูงช่วยหนุนภาคบริการในเมืองหลักได้ แต่ด้วยพฤติกรรมการใช้จ่ายสินค้าของนักท่องเที่ยวทั้งสองกลุ่มที่แตกต่างกันส่งผลต่อยอดจำหน่ายสินค้ากระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในพื้นที่
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 52.2 ซึ่งลดลงจากระดับ 52.6 ที่คาดไว้การณ์ในเดือนก่อนหน้า และยังคงปรับลดลงต่อเนื่องโดยอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 25 เดือน สะท้อนความกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงหลายประการส่งผลให้ผู้ประกอบการลดความเชื่อมั่นในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ขณะเดียวกันการเจรจาเรื่องมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่ยังต้องติดตามผลสรุปจนใกล้กำหนดเวลา ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมให้อยู่ในภาวะตึงตัวและส่งผลให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มระมัดระวังการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น
จากสถานการณ์กำลังซื้อที่ชะลอตัวในหลายภาคธุรกิจและพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังคงระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น จึงควรเร่งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจประกอบกับมาตรการกระตุ้นกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการจับจ่ายในท้องถิ่น และกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงพื้นที่เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนให้ผู้ประกอบการรายย่อย ขณะเดียวกันควรมีมาตรการช่วยลดต้นทุนภาคธุรกิจรวมถึงแนวทางการรับมือสำหรับผู้ประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ ที่อาจสูงกว่าประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะกับภาคการผลิตในกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งต่อความสามารถในการทำกำไรและกระทบต่อสภาพคล่องของธุรกิจโดยรวม จึงควรเร่งสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การขยายมาตรการพักหนี้ให้ครอบคลุมธุรกิจที่ยังเปราะบางรวมถึงออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะกับกิจการรายเล็กในพื้นที่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ สสว. ได้ดำเนินโครงการและมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการ SME รวมถึงการให้คำปรึษาสำหรับผู้ประกอบการ SME โดยผู้ประกอบการ SME ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านแอปพลิเคชัน SME Connext หรือสอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ ได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจรในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301
Advertisement