การแอบอัดเสียงผู้อื่นในประเทศไทยเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและมีหลายมุมมองทางกฎหมายที่ต้องพิจารณา ขึ้นอยู่กับเจตนา ลักษณะการอัด และการนำไปใช้
โดยทั่วไปแล้ว การแอบอัดเสียงสนทนาที่เราเป็นคู่สนทนาด้วย ไม่ได้ผิดกฎหมายในตัวของมันเอง ตราบใดที่ไม่ได้มีเจตนาทุจริต หรือนำไปใช้ในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่ถ้าเป็นการบันทึกเสียงของบุคคลอื่นที่ไม่ได้อยู่ในบทสนทนา หรือเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ อาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิได้
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดดังนี้
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
ตามกฎหมาย PDPA ข้อมูลเสียงถือเป็น ข้อมูลส่วนบุคคล หากจะบันทึกเสียง ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน มิฉะนั้นอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิ์และมีความผิดตามกฎหมาย
ส่วนการนำไปเผยแพร่ โดยเฉพาะหากมีข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนได้ และนำไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับความยินยอม อาจเข้าข่ายการละเมิด PDPA ได้ และอาจผิดกฎหมายในข้อหาอื่น ๆ ตามมา
การเผยแพร่ที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย
หากคุณแอบอัดเสียง แล้วนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณะ หรือให้บุคคลอื่นรับรู้ และเนื้อหาในคลิปนั้นทำให้คู่สนทนาเสียหาย เสียชื่อเสียง อับอาย อาจเข้าข่ายความผิดฐาน หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ซึ่งเป็นความผิดทั้งทางแพ่งและอาญาได้
การบันทึกเพื่อวัตถุประสงค์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หากมีเจตนาในการบันทึกเพื่อนำไปใช้ข่มขู่ แบล็กเมล์ หรือกระทำความผิดอื่น ๆ ก็จะเข้าข่ายการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญและมีการตีความแตกต่างกันไปตามลักษณะคดี และดุลพินิจของศาล
หลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ
ตามหลักกฎหมายไทย โดยเฉพาะใน คดีอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1 ระบุว่า ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ (เช่น การบันทึกเสียงโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยการจูงใจ ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือวิธีการอื่นใดที่ไม่ชอบ)
อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้น คือ หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็น "ประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสีย" ที่เกิดจากการได้มาซึ่งพยานหลักฐานนั้น ศาลอาจใช้ดุลพินิจรับฟังได้ โดยจะพิจารณาจากคุณค่าเชิงพิสูจน์ ความน่าเชื่อถือ และพฤติการณ์ทั้งปวงของคดี รวมถึงผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
คดีแพ่ง
ใน คดีแพ่ง ไม่มีบทบัญญัติที่ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาจากการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดเจนเหมือนในคดีอาญา
ดังนั้น คลิปเสียงที่แอบอัดไว้จึงมีแนวโน้มที่จะสามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้มากกว่า หากมีความน่าเชื่อถือว่าเป็นของจริง และเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาทโดยตรง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลในการพิจารณาน้ำหนักของพยานหลักฐานนั้น
แนวคำพิพากษาศาลฎีกา
เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3782/2564 ระบุว่า การแอบบันทึกเสียงสนทนาโดยที่คู่สนทนาไม่รู้และไม่ยินยอม ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ (ในคดีอาญา) แต่ในทางกลับกัน ศาลฎีกาเคยพิพากษาในคดีแรงงาน (ซึ่งถือเป็นคดีแพ่ง) ว่าสามารถรับฟังคลิปเสียงที่อัดโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ได้ หากเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี
การแอบอัดเสียง (ที่คุณเป็นคู่สนทนา) ไม่ได้ผิดกฎหมายในทันที แต่จะเป็นปัญหาเมื่อนำไปเผยแพร่แล้วทำให้ผู้อื่นเสียหาย หรือมีเจตนาที่ไม่ชอบ
การนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล
คดีอาญา มีแนวโน้มสูงที่จะไม่สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ เว้นแต่ศาลจะใช้ดุลพินิจเห็นว่าจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อความยุติธรรมอย่างยิ่ง
คดีแพ่ง มีแนวโน้มที่จะสามารถใช้เป็นหลักฐานได้มากกว่า แต่ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือและดุลพินิจของศาล
คำแนะนำ หากคุณมีความจำเป็นต้องบันทึกเสียงสนทนา ควรแจ้งให้อีกฝ่ายรับทราบหากทำได้ เพื่อความโปร่งใสและเพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง แต่หากมีเหตุจำเป็นต้องบันทึกเพื่อใช้ปกป้องสิทธิของตนเองจริงๆ ก็ควรปรึกษาทนายความเพื่อประเมินสถานการณ์และโอกาสในการใช้เป็นหลักฐานในคดี
Advertisement