"สามเณรี" บวชอย่างไร หลัง "เจนี่" เตรียมโกนหัว-ถือศีลบวชไปศรีลังกา

"สามเณรี" คืออะไร บวชกันอย่างไร หลังอาจารย์โอเล่ ญาณสัมผัส เผย เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ เตรียมโกนหัว-ถือศีลบวช ไปศรีลังกา

*เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล*

หลังได้รู้เกี่ยวกับอดีตชาติของตนจากการไปออกรายการ The Ghost Secret ของ อาจารย์โอเล่ ญาณสัมผัส สำหรับนางเอกสาว เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ ว่าอดีตชาติเคยผูกพันกับพญานาค ให้คำมั่นสัญญาอธิษฐานกันไว้ว่าจะไม่มีใครจนกว่าเขาจะกลับมา แต่เจนี่หนีมาเกิดก่อนในชาตินี้ ทำให้พญานาคตนนั้นยังผูกจิตเฝ้ารออยู่ อ.โอเล่ จึงแนะนำให้เจนี่ทำการถอนคำสัญญา เพื่อให้หลุดพันธะสัญญาสิ้นภพสิ้นชาติจากกัน

ล่าสุดอาจารย์โอเล่ ญาณสัมผัส เปิดเผยเรื่องราวสุดน่ายินดีของ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ ในรายการปูเสื่อรอ ว่านางเอกสาวเตรียมจะเข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณรี และเดินทางไปที่ศรีลังกาไปรายงานกับปวติณี ซึ่งเป็นผู้หญิงที่ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของสตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณีของศรีลังกา แล้วได้เกียรติบัตรเป็นการรับรอง

โดยการบวชสามเณรีของเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ นั้นจะใช้ระยะเวลานานเท่าใด อาจารย์โอเล่ กล่าวว่า ก็อยู่ที่ใจของเจ้าตัวด้วย ถ้าวัดจากกำลังใจที่เข้มแข็งของเขา มองโลกในเรื่องของธรรมะ ความทุกข์ การผจญชีวิตไปเจออะไรมาสรุปได้ว่าสุดท้ายมันคือความว่างเปล่า ประเมินดูแล้วในใจลึกๆ ก็เชียร์อยากให้อยู่ต่อในเรื่องของการบวช แต่หัวใจนางมันเกินผู้ชาย ความหนักแน่นมันเกินผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามกับพระภิกษุณี ไม่ว่าจะการเข้าสู่วัด การเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างของเขามันเหมือนพร้อมแล้ว แล้วปรากฎการณ์ต่างๆ มันมีอยู่ในนั้นเลย เราเข้าไปในสถานที่ที่ภิกษุณีเหยียบเมืองศรีลังกาเป็นก้าวแรกด้วย นั่นก็คือเมืองอนุราธปุระ

การบวชสามเณรี คืออะไร?

สามเณรี ในความหมายของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา ให้ความหมายว่า สามเณรี คือนักบวชหญิงในพระพุทธศาสนาที่มีสถานะต่ำกว่าภิกษุณี ประวัติการเกิดขึ้นของสามเณรีไม่แน่ชัด เชื่อกันว่าการบวชสามเณรีน่าจะมีขึ้นในช่วงต้นของการปฐมโพธิกาลนั่นเอง เพราะในคราวที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถีนั้น มีทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาต่างอาสาขอแสดงฤทธิ์แทนพระพุทธเจ้า ในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบทกล่าวว่า มีสามเณรีเข้าอาสาขอแสดงฤทธิ์ด้วย แต่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธด้วยทรงเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่พระพุทธเจ้าต้องทรงแสดงเอง ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วได้หกพรรษา และเป็นระยะเวลาไม่นานก่อนเข้าพรรษาที่เจ็ด ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า ช่วงเวลานั้นมีสามเณรีจำนวนมากแล้ว

การบวชเป็นสามเณรี สตรีผู้จะบวชต้องมีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป และต้องได้รับอนุญาตจากบิดา มารดา ถ้ามีสามีแล้วต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน และต้องมีภิกษุณีเป็นปวัตตินี (อุปัชฌาย์) ที่ถูกต้อง คือมีพรรษา 12 ขึ้นไป และได้รับแต่งตั้งจากภิกษุณีสงฆ์แล้ว

สามเณรีคือเณรผู้หญิงที่รับไตรสรณคมน์, ศีล 10 และรักษาเสขิยวัตร 75 ข้อ ต่างจากเณรผู้ชายตรงที่ ผู้หญิงไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เมื่อออกบวชต้องเริ่มต้นเป็นสามเณรีก่อน หากปรารถนาจะอุปสมบทเป็นภิกษุณีต่อไป ก็จะได้รับการพิจารณาจากปวัตตินี (อุปัชฌาย์ผู้หญิง) ให้ประกาศสิกขมานา (สามเณรีที่ประกาศตนจะอุปสมบทเป็นภิกษุณี เมื่ออยู่กับครูอาจารย์ครบ 2 พรรษา) ท่ามกลางสงฆ์ จากนั้นปวัตตินีก็จะแสวงหาการอุปสมบทให้ได้เป็นภิกษุณีในที่สุด

ในปัจจุบัน พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทไม่มีการบวชสตรีเป็นสามเณรีแล้ว เนื่องจากไม่มีภิกษุณีเป็นปวัตตินีคือพระอุปัชฌาย์ นั่นเอง เพราะการบวชเป็นสามเณรีต้องมีภิกษุณี คงมีอยู่แต่ในพระพุทธศาสนานิกายมหายานและนิกายวัชรยานเท่านั้น

สำหรับประเทศไทยเคยมีผู้พยายามจะให้มีการบวชเป็นสามเณรีหลายครั้ง แต่ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการมหาเถรสมาคม.

ซึ่งก่อนหน้านี้ในปี 2565 หมอปลาย พรายกระซิบ หมอดูคนดัง ก็เคยบวชเป็นสามเณรีและเดินทางไปร่วมพิธีการสอบเป็นพระภิกษุณีที่ประเทศศรีลังกามาแล้ว

การบวชสามเณรี ยากและเหมาะสมหรือไม่ ?

อาจารย์โอเล่ ญาณสัมผัส เคยพาไขความรู้เกี่ยวกับการบวชจากพระอาจารย์ ดร.ธรรมนาถ วัตรทรงธรรมกัลยานี มาให้ได้รู้ โดยคำว่า บวช มาจากคำบาลีว่า ปพฺพชฺชา ซึ่งหมายถึง บรรพชา มีรากศัพท์มาจาก ปวช ป (ปะ) แปลว่า ทั่ว และ วช (วะชะ) แปลว่า เว้น มาเป็นคำว่าบรรพชา แล้วกลายมาเป็นคำว่าบวชในที่สุด

ในพุทธประเพณี การบวชมีแค่ 2 ระดับ คือ การบรรพชาเป็นสามเณร หรือ สามเณรี และ การอุปสมบทเป็นภิกษุหรือ ภิกษุณี แต่ในประเทศไทยรวมถึงหลายประเทศทั่วโลก ไม่ได้มีประเพณีให้ผู้หญิงได้บวช ด้วยความที่อาจจะเป็นเพราะว่าภิกษุณีสงฆ์สืบมาไม่ถึง มีอยู่แค่ที่ศรีลังกา จีน และฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ในเถรวาท ภิกษุณีสงฆ์ยังมาไม่ถึงหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉะนั้นวิธีการแก้ปัญหาของคนในยุคหลายร้อยปีที่ผ่านมาก็คือ ในเมื่อผู้หญิงอยากที่จะแสวงหาความสงบอยากบวชเช่นเดียวกัน เลยอนุโลมให้บวชชี

ซึ่งจริงๆ บวชชี้เป็นการรับศีลเท่านั้น คือเป็นสมาทานศีล อาจจะเป็นศีล 8 หรือ ศีล 10 ก็ได้ ฉะนั้นยังอยู่ในส่วนที่เรียกว่าอุบาสิกาอยู่ แต่ถ้าเมื่อไรมีการปลงผมและเอ่ยคำขอบวช ที่กล่าวว่า

อะหัง ภันเต ปัพพัชชัง ยาจามิ

ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต ปัพพัชชัง ยาจามิ

ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต ปัพพัชชัง ยาจามิ

การเปล่งวาจาคำเหล่านี้เป็นการยืนยันว่าผู้หญิงคนนี้ขอรับการบรรพชาเป็นสามเณรี ซึ่งชีพราหมณ์หรือบวชชี จะไม่มีการกล่าวคำเหล่านี้ นี่คือความต่างระหว่างความเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา กับความเป็นอุบาสิกาที่ขอสมาทานศีล 8 หรือ ศีล 10

ศีล 10 ที่คนบวชสามเณรีจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

1. เว้นจากการฆ่าสัตว์

2. เว้นจากลักทรัพย์

3. เว้นจากประพฤติล่วงพรหมจรรย์

4. เว้นจากพูดเท็จ

5. เว้นจากดื่มสุราเมรัย

6. เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล (เที่ยงไปแล้วจนถึงดวงอาทิตย์ขึ้น)

7. เว้นจากฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรีและการดูการเล่นที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์

8. เว้นจากทัดทรงตกแต่งประดับประดาร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องทา เครื่องย้อมผัดผิว

9. เว้นจากที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ (คือเว้นจากนั่งนอนเหนือเตียงตั่งมีเท้าสูงเกินประมาณและที่นั่งที่นอนอันใหญ่มีภายในใส่นุ่นและสำลี)

10. เว้นจากการรับเงินทอง