ค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ราคายาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สูงขึ้น ค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ที่สูงขึ้น และจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการทำประกันสุขภาพเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงด้านค่ารักษาพยาบาล
ขณะที่ระบบประกันสุขภาพมีการปรับเปลี่ยนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทั้งสำหรับบริษัทประกันและผู้ถือกรมธรรม์ โดยหนึ่งในมาตรการที่เริ่มมีการนำมาใช้คือ ระบบ Co-Payment หรือ การร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล ซึ่งมีผลไปตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
การคัดค้านมาตรการ Co-payment
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 สภาผู้บริโภคร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนในกรุงเทพมหานครได้ยื่นหนังสือต่อ เลขาธิการคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อเสนอให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล Co-payment ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
โดยนายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวว่า “การผลักภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจยังเปราะบางเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการซ้ำเติมผู้มีรายได้น้อย แต่ยังเป็นการถอยหลังของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน”
ด้านนางสาวมลฤดี โพธิ์อินทร์ รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค ให้ข้อมูลว่า “ปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนสามารถตั้งราคาค่ารักษาได้เองโดยไม่มีการกำกับจากรัฐอย่างเหมาะสม ทำให้ผู้ป่วยต้องจ่ายค่ารักษาที่สูงลิ่ว หลายครั้งยังมีการเรียกเก็บค่ารักษาที่ไม่โปร่งใส หากรัฐไม่เร่งเข้ามาดูแลและกำหนดมาตรฐานค่ารักษาให้ชัดเจน ผู้บริโภคจะยังคงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบต่อไป”
Co-payment ใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์?
มาตรการ Co-payment มีเป้าหมายหลักเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้เอาประกันมีการเคลมค่ารักษาพยาบาลบ่อยครั้ง จากโรคที่ไม่ร้ายแรงมากนัก หรือที่เรียกว่า "โรคเล็กน้อย" หรือ "โรคทั่วไป" ถ้าเข้าเงื่อนไข ดังนี้
- การเคลมสำหรับโรคที่ไม่รุนแรง มากกว่า 3 ครั้งต่อปี และอัตราการเคลมมากกว่า 200% ของเบี้ยประกันสุขภาพ ผู้เอาประกันต้องร่วมจ่าย 30% ของค่ารักษาในปีถัดไป
- การเคลมสำหรับโรคทั่วไป (ไม่รวมโรคร้ายแรงและผ่าตัดใหญ่) มากกว่า 3 ครั้งต่อปี และอัตราการเคลมมากกว่า 400% ของเบี้ยประกันสุขภาพ ผู้เอาประกันต้องร่วมจ่าย 30% ของค่ารักษาในปีถัดไป
- หากเข้าเงื่อนไขทั้งคู่ ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมจ่าย Co-payment 50% ของค่ารักษาในปีถัดไป
แต่ระบบนี้ใครได้ประโยชน์? ใครคือผู้ที่ต้องรับภาระเพิ่มขึ้น?
ผู้ถือกรมธรรม์เก่า - อาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก Co-payment หากสัญญาเดิมไม่ได้ระบุเงื่อนไขนี้ไว้
ผู้ถือกรมธรรม์ใหม่ - สำหรับผู้ที่สุขภาพดีและไม่เคยเคลมบ่อย อาจได้ประโยชน์จากค่าเบี้ยประกันที่ถูกลง แต่ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเคลมบ่อย อาจต้องเผชิญภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
บริษัทประกัน - จะได้ประโยชน์จากการควบคุมภาระค่าใช้จ่าย เนื่องจากช่วยลดค่าใช้จ่ายในกรณีที่มีการเคลมมากเกินไป
4 ข้อเรียกร้องของ “สภาผู้บริโภค”
1.ขอให้ชะลอการบังคับใช้เพื่อทบทวนหลักเกณฑ์ Co-payment
2.ขอให้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากองค์กรผู้บริโภคและผู้บริโภคโดยตรง
3.ขอให้ศึกษาและติดตามปัญหาค่ารักษาพยาบาลที่ไม่เป็นธรรมในโรงพยาบาลเอกชนและแนวทางแก้ไข
4.ขอให้นำเสนอผลการรับฟังความคิดเห็นและผลการศึกษาต่อสาธารณะ
จะเห็นได้ว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้สะท้อนถึงความต้องการให้มีการตรวจสอบและพิจารณาการบังคับใช้ Co-payment อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้บริโภคและการเข้าถึงการรักษาพยาบาลในรูปแบบที่ยุติธรรมและสามารถเข้าถึงได้จริง รวมถึงการให้โอกาสผู้บริโภคในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการรักษาพยาบาล
การออกแบบระบบ Co-payment ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และต้องทำให้ระบบประกันสุขภาพสามารถเข้าถึงได้สำหรับทุกคนโดยไม่ทำให้ผู้เอาประกันต้องแบกรับภาระมากเกินไป การเร่งดำเนินการโดยไม่มีมาตรการรองรับที่ชัดเจนอาจทำให้เกิดปัญหาในระยะยาว และส่งผลกระทบต่อระบบประกันสุขภาพของประเทศโดยรวม
Advertisement