Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สพฉ. พร้อมเรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์ ยกระดับการเข้าถึงบริการ

สพฉ. พร้อมเรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์ ยกระดับการเข้าถึงบริการ

27 ส.ค. 68
16:33 น.
แชร์

สพฉ. พร้อมเรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์ จากประกันท่องเที่ยว ประกันภัย หน่วยงานรัฐ หวังยกระดับการเข้าถึงบริการ ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ

วันนี้ (27 สิงหาคม 2568) ณ ห้องประชุมสัตตบงกช B602 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) เป็นประธานการแถลงข่าว

เรื่อง การกำหนดและการเรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์และการดำเนินกิจการของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อยกระดับระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้ครอบคลุม เพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมการท่องเที่ยว การลงทุน และเศรษฐกิจของประเทศ โดยมี ดร.พิเชษฐ์ หนองช้าง เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ พร้อมคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน และผู้บริหาร สพฉ. เข้าร่วมในงาน

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน กล่าวว่า บอร์ด สพฉ. ในการประชุมครั้งที่ 8/2568 วันที่ 27 ส.ค. 2568 มีมติ เห็นชอบหลักการให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติดำเนินการกำหนดและเรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินและค่าดำเนินกิจการของสถาบัน

สืบเนื่องจากปัจจุบัน ระบบการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศประสบปัญหาและข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่ไม่เพียงพอ ส่งผลต่อความครอบคลุมและมาตรฐานในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินตามที่คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินกำหนด ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต ความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง เช่น เหตุการณ์หน่วยปฏิบัติการแพทย์มูลนิธิหนึ่ง ประสบอุบัติเหตุที่จังหวัดระยอง จนทำให้เกิดการเสียชีวิต อุบัติเหตุเรือนักท่องเที่ยวล่มและเสียชีวิตที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และโศกนาฏกรรมเรือฟีนิกซ์ล่มที่จังหวัดภูเก็ต มีผู้ประสบภัยรวมทั้งสิ้น 149 ราย มีผู้เสียชีวิต 47 ราย ผู้สูญหาย 3 ราย และผู้บาดเจ็บ 37 ราย

รวมทั้งกรณีนักท่องเที่ยวชาวจีนเกิดอุบัติเหตุรถชนและเสียชีวิตบนถนนมอเตอร์เวย์สาย 7 จังหวัดชลบุรี ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของการท่องเที่ยว ทำให้สูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจของประเทศจำนวนมหาศาล

ซึ่งเกิดจากประเด็นปัญหาที่สำคัญของระบบการแพทย์ฉุกเฉินประเทศ ได้แก่

1. อัตราการตายของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตนอกโรงพยาบาล พบว่าสูงถึง 38.23 ต่อแสนประชากร ซึ่งมากกว่า ร้อยละ 73 เป็นการเสียชีวิตก่อนชุดปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินไปถึง พบว่าผู้เสียชีวิตร้อยละ 42 เป็นวัยแรงงาน (ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2567)

2. การเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (สีแดง) เข้าถึงบริการได้เพียงร้อยละ 20.39 ของจำนวนผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตทั้งหมด (ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2567)

3. ความครอบคลุมของหน่วยปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน มีความครอบคลุมทั้งประเทศมีเพียงร้อยละ 64.79 ซึ่งขาดแคลนอีก 2,618 ตำบล คิดเป็นร้อยละ 35.21 (ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2567)

4. ความไม่เพียงพอของบุคลากรในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะนักฉุกเฉินการแพทย์ (paramedic) ที่มีเพียง 1,554 คน ซึ่งมีความสามารถในการผลิตจำนวน 210 คนต่อปี ขณะที่ความต้องการที่แท้จริงมีมากกว่า 22,305 คน (ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2567)

5. ความไม่เพียงพอของหน่วยปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศ (Thai Sky Doctor) ปัจจุบัน มีการให้บริการโดยใช้อากาศยานของรัฐร่วมกับหน่วยปฏิบัติแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศ มีความจำเป็นต้องให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศยานมากกว่า 500 รายต่อปี แต่สามารถให้บริการได้เพียง 220 ครั้งต่อปี เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านความพร้อมของอากาศยานที่ติดภารกิจอื่น ส่งผลต่อการช่วยชีวิตของผู้ป่วยอย่างทันท่วงที (ข้อมูล ณ 30 กันยายน 2567)

6. ประชาชนมีความรอบรู้ด้านการแพทย์ฉุกเฉินต่ำ เช่น การปฐมพยาบาลและการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน การทำ CPR และการใช้เครื่อง AED รวมถึงการเรียกใช้บริการ 1669 ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ทำให้เกิดความสูญเสียชีวิต หรือพิการ

จากประเด็นปัญหาดังกล่าว ทำให้การพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศ ยังไม่สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพ อันเนื่องมาจากความไม่เพียงพอของงบประมาณในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศ ซึ่งในปี 2567 - 2569 กองทุนการแพทย์ฉุกเฉินได้รับงบประมาณเพียง 1,093 ล้านบาท 1,092 ล้านบาท และ 1,050 ล้านบาท ตามลำดับ โดยจ่ายค่าชดเชยการปฏิบัติการฉุกเฉินในอัตราเดิมที่ต่ำกว่าต้นทุนเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี มีความจำเป็นต้องของบกลางฉุกเฉิน ปีละกว่า 200–300 ล้านบาท

สัดส่วนงบประมาณด้านการแพทย์ฉุกเฉินต่องบประมาณสุขภาพรวมของประเทศ น้อยกว่าร้อยละ 0.01 คิดเป็น 16 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ ร้อยละ 5-10 เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่เข้มแข็ง เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ มีงบประมาณ 100-1,000 บาทต่อคนต่อปี (World Bank, 2024)

ในปี 2568 ประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีบริการสาธารณสุขที่ดีที่เป็นอันดับ 9 ของโลก แต่ระบบการแพทย์ฉุกเฉินยังต้องได้รับการพัฒนาเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ

ตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 บัญญัติอำนาจไว้ในมาตรา 11 (11) กำหนดค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉิน และค่าดำเนินกิจการของสถาบัน มาตรา 15 ( 8 ) / การเรียกเก็บค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉิน และค่าดำเนินกิจการของสถาบัน

เพื่อการแก้ไขปัญหางบประมาณไม่พอเพียง และพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้ยั่งยืน คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน จึงได้กำหนดแนวทางดำเนินการสำคัญ ดังนี้

1. กำหนดอัตราค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินและกิจการของสถาบัน ทั้งการบริการการแพทย์ฉุกเฉินทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

2. เรียกเก็บค่าบริการการทางแพทย์ฉุกเฉิน จากประกันนักท่องเที่ยว ประกันชีวิตและประกันอุบัติเหตุ ประกันวินาศภัย และจากกองทุนต่างๆ ของรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งค่าดำเนินกิจการของสถาบัน เช่น ค่าการศึกษาและฝึกอบรม ค่าบริการทางการศึกษา ค่าบริการการเชื่อมต่อระบบเทคโนโลยีหรือข้อมูล ค่าใช้บริการทรัพย์สินของสถาบัน เป็นต้น

เพื่อนำรายได้ไปดำเนินการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินในการลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในการเข้าถึงระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่มีมาตรฐานคุณภาพ อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อลดการเสียชีวิตและความพิการของผู้ป่วยฉุกเฉินก่อนถึงสถานพยาบาล และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ

ด้วยวงเงินงบประมาณ 9,704.80 ล้านบาท (ได้ผ่านความเห็นชอบตามมติ กพฉ. เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 เพื่อเพิ่มหน่วยปฏิบัติการแพทย์ พัฒนาหน่วยปฏิบัติการอำนวยการ ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพิ่มและพัฒนาศักยภาพบุคลากร ยกระดับมาตรฐานการให้บริการ คุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (UCEP) ตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เจ็บป่วยฉุกเฉิน (TEMAC) พัฒนาและเพิ่มการบริการการแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศ (Thai Sky Doctor) / พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ และทักษะด้านการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (CPR และการใช้เครื่อง AED)

โดยมีเป้าหมายการพัฒนาภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตจะสามารถเข้าถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินได้ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 มีหน่วยปฏิบัติการครอบคลุมทุกตำบลทั่วประเทศ และประเทศไทยจะมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ทันสมัยและได้มาตรฐานสากล

คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยเป็นหลักประกันความปลอดภัยของประชาชน สร้างความมั่นใจ ให้แก่นักท่องเที่ยวและนักลงทุน และเป็นรากฐานสำคัญ ในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน

Advertisement

รูปภาพทั้งหมด

แชร์
สพฉ. พร้อมเรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์ ยกระดับการเข้าถึงบริการ