
นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีชื่อเล่นว่า “หนู” ขณะที่สื่อมวลชนและคอการเมืองเรียกว่า “เสี่ยหนู” เนื่องจากเขาเป็นทายาทของ “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรักษาการแทนนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และผู้ก่อตั้งบริษัท ผู้ก่อตั้งบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด มหาชน
“นายอนุทิน” สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนอัสสัมชัญ และระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮอฟสตรา สหรัฐอเมริกา ก่อนจะศึกษา Mini MBA จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ชีวิตส่วนตัว ก่อนหน้านี้สมรสมาแล้วสองครั้ง และ “จ๋า ธนนนท์ นิรามิษ” เป็นการสมรสครั้งที่สาม และเป็นคู่ชีวิตคนปัจจุบัน
“นายอนุทิน” เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองในปี 2539 ในฐานะสมาชิกพรรคไทยรักไทย ก่อนจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ใน พ.ศ. 2547 และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขระหว่าง ในปี 2547 ถึง 2549
จนเมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบในปี 2550 นายอนุทินที่เป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรค ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี หรือที่เรียกกันว่าเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 (ร้อยสิบเอ็ด)
เมื่อพ้นกำหนดตัดสิทธิ์ ในปี 2555 “นายอนุทิน” กลับมาลงสนามการเมืองอีกครั้ง โดยเข้าเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย และได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค ต่อจากนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ผู้เป็นบิดา ดูแลบริหารพรรคภูมิใจไทยในฐานะหัวหน้าพรรคและ สส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 ซึ่งพรรคนี้ดูแลโดยบ้าน “ชิดชอบ” จากบุรีรัมย์ ซึ่งปัจจุบันก็ “เนวิน ชิดชอบ” ที่ “นายกฯอนุทิน” บอกว่ารักกันเหมือนพี่น้องก็ยังคงมีบทบาทอย่างสูง
การเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ.2562 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังรัฐประหารปี 2557 พรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี และนายอนุทินได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
โดยมีบทบาทสำคัญในการรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์การทำงานอย่างหนัก รวมถึงการผลักดันให้นำกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดในปี 2565
ต่อมาการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2566 พรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ และนายอนุทินได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในคณะรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” และยังคงดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีทั้งในรัฐบาลของเศรษฐา ทวีสิน และ “แพทองธาร ชินวัตร” แห่งพรรคเพื่อไทย
จนกระทั่งเกิดคลิปเสียงหลุดบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง “นายกแพทองธาร” กับ “สมเด็จฮุน เซน” นายอนุทินและพรรคภูมิใจไทย ได้ตัดสินใจถอนตัวออกจากคณะรัฐมนตรีแพทองธาร และย้ายไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน
เมื่อรัฐบาลเกิดวิกฤตความมั่นคง ความเชื่อมั่นเริ่มระส่ำระส่าย บวกกับเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ “น.ส.แพทองธาร” ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอนุทินได้บรรลุข้อตกลงกับพรรคประชาชน ผ่านข้อตกลง MOA สัญญาประชาคม ในการจัดตั้งและสนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อย
โดยมีสาระสำคัญ คือ
จนกระทั่งถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎรประชุมนัดพิเศษ วาระการโหวตให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ซึ่งเป็นการลงคะแนนแบบเปิดเผย ขานชื่อสมาชิกทีละคน
ผลการลงมติปรากฏว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับความเห็นชอบนั่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ด้วยคะแนน 311 เสียง ขณะที่นายชัยเกษมได้คะแนน 152 เสียง โดยงดออกเสียง 27 เสียง โดยเสียงส่วนใหญ่มาจากการสนับสนุนจาก ส.ส. พรรคประชาชน ที่โหวตเห็นชอบ
ภายหลังเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลภายใต้การบริหารของนายอนุทิน เผชิญข้อครหาด้านการทำงานที่น่าผิดหวังหลายด้านจากสังคม
ไม่ว่าจะเป็น การโยกย้ายข้าราชการระดับสูง , เสริมอำนาจ ส.ว. สีน้ำเงิน , แต่งตั้งคนที่มีชื่อเอี่ยวกับทุนเทาร่วมรัฐบาล , ไม่จริงจังปราบปรามแก้ไขปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ , แจกเงินโครงการคนละครึ่งไม่ครบตามสัญญา , อนุมัติงบจัดงาน MotoGP ต่อเนื่อง 5 ปี เป็นจำนวนเงินถึง 4 พันล้านบาท , ล้มเหลวการจัดการและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ , จัดงานซีเกมส์ได้น่าผิดหวังที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และข้อครหาในการฉกฉวยกระแสชาตินิยม จากภาวะสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ท่ามกลางความสูญเสียของประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหาร
อย่างไรก็ตามตลอดการเป็นรัฐบาล “นายกอนุทิน” และพรรคภูมิใจไทย ดำเนินการหลายเรื่องเพื่อให้พร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่สุดเช่นการโยกย้ายข้าราชการ หรือการนำ สส. กลุ่มก๊วนต่างๆมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย
เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็มาสู่จุดแตกหัก แหก MOA เป็นประเด็นร้อนทางการเมืองในคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2568
เมื่อพรรคภูมิใจไทยสะบั้น ข้อตกลง MOA จากการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 ในมาตรา 256/28 ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดย ส.ส. พรรคภูมิใจไทยไปร่วมโหวตให้มีเงื่อนไขการใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 เพื่อคุมร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งขัดแย้งกับหลักการของพรรคประชาชนที่ต้องการ ตัดอำนาจ ส.ว. ทำให้หัวหน้าพรรคประชาชนออกแถลงการณ์ว่า พรรคภูมิใจไทยฉีก MOA
พรรคประชาชนไม่พอใจและเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจทันทีที่เปิดสมัยประชุมในวันที่ 12 ธันวาคม
แต่ดูเหมือนจะช้าไปเสียแล้ว เมื่อ “นายกฯอนุทิน” เลือกที่จะปิดฉากรัฐบาลด้วยตัวเอง ด้วยเวลาและผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุด
และโพสต์ว่า "ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ"
และในคืนเดียวกัน เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา ก็ได้เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกายุบสภา พ.ศ.2568 โดยให้เหตุผลของการยุบสภาว่า
การบริหารราชการแผ่นดิน จำเป็นต้องมีเสถียรภาพ แต่รัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่มีปัญหารุมเร้าในหลายๆ ด้าน ส่งผลให้รัฐบาลไม่อาจบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพ
การตัดสินใจยุบสภาครั้งนี้ ส่งผลหลายเรื่องอย่างแรกคือ ประเทศไทยจะเข้าสู่โหมดเลือกตั้งใหม่ทันที
ต่อมาคือร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมที่กำลังพิจารณาต้องตกไปทันทีเช่นกัน ดังนั้นคำถามประชามติที่จะถามพร้อมการเลือกตั้งจึงเหลือเพียงคำถามเดียวคือ ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
อย่างไรก็ตามในช่วงการรักษาการ รัฐบาลยังคงทำหน้าที่ต่อไปได้ แต่ไม่สามารถอนุมัติในบางเรื่องเช่นโยกย้ายข้าราชการ หรืออนุมัตงบประมาณ
ขณะที่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือโคงการที่คนรอคอยอย่าง “คนละครึ่งพลัส เฟส2” ก็จะยุติลงเช่นกัน
รวมถึงการเจรจาภาษีกับต่างประเทศ ก็อาจจะไม่ราบรื่น ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วงเปลี่ยนผ่าน
นอกจากนี้หลายคนกังวลเรื่องสถานการณ์ไทย – กัมพูชา ว่ารัฐบาลช่วงยุบสภายังมีอำนาจและทำอะไรต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้มีการยืนยันจากกองทัพว่า รัฐบาลรักษาการยังมีอำนาจเต็มในการดำเนินการด้านความมั่นคงและการทำสงคราม โดยเฉพาะการบังคับใช้ กฎอัยการศึกในพื้นที่
แน่นอนว่าการยุบสภาครั้งนี้มีคำถามมากมายว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ หรือเกิดเพราะเงื่อนไขความได้เปรียบทางการเมือง แต่เมื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ตัดสินใจใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีในการยุบสภา ก็ทำให้ประเทศเทยเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเต็มตัว และสิ้นสุดการเป็นรัฐบาลในครั้งนี้ด้วยระยะเวลาประมาณ 2 เดือนเท่านั้น
Advertisement