
น.ส.อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เพื่อให้การคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน หลังจากกฎกระทรวงเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2538 ไม่ทันต่อสถานการณ์ค่าจ้างแรงงานที่ปรับสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา
น.ส.อัยรินทร์ กล่าวว่า เดิมเพดานค่าจ้างที่ใช้คำนวณเงินสมทบกำหนดไว้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ส่งผลให้ผู้ประกันตนที่มีรายได้สูงกว่านั้น ต้องส่งเงินสมทบเท่ากัน และได้รับสิทธิประโยชน์ไม่สอดคล้องกับค่าจ้างจริง ขณะเดียวกัน อัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันในปัจจุบันสูงสุดอยู่ที่ 400 บาทต่อวัน แต่ยังคงใช้ฐานคำนวณจากข้อมูลเมื่อปี 2538 ซึ่งไม่สะท้อนเศรษฐกิจปัจจุบัน และไม่สอดคล้องกับมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ILO
ร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่ จึงกำหนด การปรับเพดานค่าจ้างแบบขั้นบันไดทุก 3 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ดังนี้
1. ปี 2569–2571 : เพดานค่าจ้าง 17,500 บาทต่อเดือน
2. ปี 2572–2574 : เพดานค่าจ้าง 20,000 บาทต่อเดือน
3. ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป : เพดานค่าจ้าง 23,000 บาทต่อเดือน
อัตราเงินสมทบยังคงคิดที่ร้อยละ 5 เช่นเดิม ตัวอย่างเช่น ปี 2569–2571 ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างตั้งแต่ 17,500 บาทขึ้นไป จะจ่ายเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน จากเดิม 750 บาท โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น เช่น เงินลาป่วย เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต และ เงินชราภาพ
การปรับเพดานครั้งนี้ จะทำให้กองทุนประกันสังคมมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถรองรับภาระด้านสิทธิประโยชน์ในระยะยาว ขณะเดียวกัน ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่สะท้อนค่าจ้างจริงมากขึ้น เช่น เงินชดเชยรายได้กรณีเจ็บป่วย และเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต ส่วนรัฐบาลเองจะมีภาระสมทบเพิ่มขึ้นตามเพดานใหม่ ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบประกันสังคมในอนาคต
Advertisement