
จากลูกตำรวจชั้นผู้น้อย สู่ "หัวหน้านักเรียนนายร้อย"
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เกิดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2513 ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ในครอบครัวตำรวจ โดยบิดาคือ ดาบตำรวจ ไสว หักพาล และมารดาเป็นครูชื่อ สุมิตรา หักพาล
เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ ก่อนจะเข้าสู่รั้วเตรียมทหารรุ่นที่ 31 และโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 47 และด้วยความเป็นผู้นำ เขาได้รับตำแหน่ง หัวหน้านักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 47 ในขณะเรียน
นอกเหนือจากวิชาตำรวจ บิ๊กโจ๊ก ยังศึกษาต่อในระดับสูงมากมาย ทั้งปริญญาโท-เอก สาขาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม และรัฐประศาสนศาสตร์ รวมถึงเคยเรียนคณะนิติศาสตร์ภาคค่ำ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาเคยเป็นประเด็นถูกกล่าวหาเรื่องการขโมยข้อสอบ
ดาวรุ่งพุ่งแรง! ลมใต้ปีก "บิ๊กป้อม" สู่ฉายา "ผบ.ตร.น้อย"
ชีวิตราชการของ บิ๊กโจ๊ก เริ่มต้นในปี 2537 ในตำแหน่งรองสารวัตร และไต่เต้าอย่างรวดเร็ว เพียง 10 ปีถัดมาก็ได้เป็นนายเวร (ตำรวจติดตาม) ของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีต ผบ.ตร.
แต่ที่ทำให้การเติบโตเป็นไปอย่างก้าวกระโดด คือการมีผู้สนับสนุนคนสำคัญอย่าง "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่ง 3 ป. (พล.อ.ประวิตร, พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.อนุพงษ์)
ว่ากันว่าในนาทีนั้น ถนนทุกสายของตำรวจที่จะเข้าหา "บิ๊กป้อม" ต้องผ่าน "บิ๊กโจ๊ก" เสียก่อน ทำให้เขาได้รับฉายาว่า "ผบ.ตร.น้อย" ก่อนที่ในปี 2561 จะได้เลื่อนเป็น พลตำรวจโท และขึ้นเป็น ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ตำแหน่งสูงสุดที่ใคร ๆ ก็มองว่า "ผบ.ตร." อยู่แค่เอื้อม
คำสั่ง ม.44 พักงาน และการกลับมาอีกครั้งด้วยแรงหนุน
แต่แล้วเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบก็ถึงคราวสะดุด ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562 มีคำสั่งให้ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ต่อมาเพียง 4 วัน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. และนายกฯ ได้ใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ให้ บิ๊กโจ๊ก ไปเป็นข้าราชการพลเรือนที่ทำเนียบรัฐบาล และให้ตรวจสอบข้อกล่าวหาการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ แม้ไม่มีการระบุความผิดชัดเจน แต่มีการวิเคราะห์ว่าสาเหตุมาจาก ความขัดแย้งภายใน ตร. โดยเฉพาะเรื่องการจัดซื้อระบบไบโอเมตริกส์ หลังจากนั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้ตัดสินใจลาบวชที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย
แต่ชีวิตที่ขึ้นแล้วลง ก็ถึงคราว "กลับขึ้นอีกครั้ง" ในปีถัดมา มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เขากลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้ง และเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่งขึ้นเป็น พลตำรวจเอก ในปี 2565 โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่านี่คือ การช่วยเหลือ "ครั้งสุดท้าย" จาก "บิ๊กป้อม" หรือไม่
หวนคืนสู่กระแส คุมคดีดัง ก่อนเจอวิกฤตอีกครั้ง
การกลับมาครั้งนี้ บิ๊กโจ๊ก ได้รับมอบหมายให้ดูแลคดีดังระดับประเทศจำนวนมาก ทำให้ชื่อเสียงกลับมาโด่งดังอีกครั้ง และถูกมองเป็น ความหวัง ในการคลี่คลายคดี เช่น คดี “กำนันนก” ที่มีการสังหารตำรวจคาบ้านผู้มีอิทธิพลที่ จ.นครปฐม , คดี “เป้ รักผู้การ” ที่นายตำรวจ จ.ชลบุรี เรียกรับสินบนจากผู้ทำเว็บพนันออนไลน์ที่ชื่อ “เป้” โดยตำรวจใช้คำพูดว่า “เป้รักผู้การเท่าไหร่ เป้เขียนมา” หรือ “คดีผู้กำกับโจ้”
ตอนนี้เรียกได้ว่าชื่อเสียงของ “บิ๊กโจ๊ก” กลับมาโด่งดังอีกครั้ง และกลายเป็นความหวัง รวมถึงมีความเชื่อมั่นว่าเมื่อคดีใหญ่ ๆ อยู่ในมือของ “บิ๊กโจ๊ก” ก็จะถูกคลี่คลายได้ และเขาก็มีชื่อเป็นแคนดิเดต ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีคู่แข่งคือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล
แต่เล้วเส้นทางรุ่งเรืองของ “บิ๊กโจ๊ก” ก็สิ้นสุดลง หลังจากถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ และมีการนำตำรวจบุกเข้าค้นเซฟเฮาส์ ซึ่งหลายคนคงจำภาพวันที่ “บิ๊กโจ๊ก” ลงมาจากบ้านในชุดกางเกงขาสั้นและสวมถุงเท้ากันได้ดี
และผู้ที่มีบทบาทกับการบุกค้นในวันนั้นก็คือ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักกฎหมายและคดี และเป็นหน่วย PCT4 หรือหน่วยปราบอาชญากรรมออนไลน์ ที่ขึ้นตรงกับ ผบ.ตร. และที่สุด “บิ๊กโจ๊ก” ก็ถูกให้ออกจากราชการ
เปิดฉากสู้แฉเส้นเงินสั่นสะเทือนสีกากี
ล่าสุด “บิ๊กโจ๊ก” สวมบทเดินหน้าลุยอีกครั้ง เปิดโปงเครือข่ายรับสินบน เว็บพนันออนไลน์ โดยอ้างว่ามีเส้นเงินที่เชื่อมโยงไปถึงตำรวจที่เขามีปัญหา ไม่ว่าจะเป็น “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” รวมถึง “พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ”
ทำให้สังคมหันมาจับตาและเฝ้ารอว่า องค์กรตำรวจจะเลือกจัดการเรื่องนี้อย่างไร เพราะมีทั้งคนที่เรียกร้องให้ “บิ๊กโจ๊ก” เดินหน้า ขณะที่ตำรวจอีกกลุ่มก็ถามว่า เขาทำเพื่ออะไร และกำลังทำลายบ้านเก่าอย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่
Advertisement