มัลลิกา ชี้รัฐบาลไม่ควรเซ็นสัญญาปฏิญญา-อยากรู้ทำยังไงให้ได้แผ่นดินคืน
"มัลลิกา" ซัด ตอนนี้คนไทยไม่สนใจเรื่องชายแดนแล้ว แค่อยากรู้ว่าเราจะปฏิบัติอย่างไรให้ได้แผ่นดินคืน ชี้ รัฐบาลไม่ควรไปเซ็นสัญญาปฏิญญา ตั้งแต่แรก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทีมข่าวได้ไปพูดคุยกับ ดร.มัลลิกา มหาสุข อดีตนักการเมืองชาวไทย ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว เมื่อวานนี้ โดยทางด้านของ ดร.มัลลิกา เผยว่า ตนเองติดตามสถานการณ์บริเวณแนวชายแดนไทยกัมพูชามานาน จนตอนนี้ไม่ได้สนใจแล้วว่าใครยิงใครก่อน เพราะตอนนี้คนไทยสนใจเพียงว่าเราจะทำอย่างไรที่จะปกป้องรักษาแผ่นดิน ซึ่งจากเหตุการณ์ปะทะก็จะเห็นว่าไทยต้องสูญเสียทั้งประชาชน และทหาร ไปแล้วเกือบ 30 ศพ นอกจากนั้นช่วงที่ผ่านมาก็จะเห็นว่ามีทหารไทยเหยียบกับระเบิดจนขาขาด นอกจากนั้นก็ยังถูกประเทศเพื่อนบ้านเข้ามารุกราน โดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุดที่มีทหารไปเหยียบเอากับระเบิดของกัมพูชาจนขาขาด
ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีนายทหารท่านหนึ่งออกมาเปิดเผยว่าถ้าหากว่ามีทหารเหยียบกับระเบิดเป็นขาที่ 7 จะไม่ยอม เองก็เลยอยากจะตั้งคำถามว่าแล้วตอนนี้เราทำอะไรได้บ้าง และตนก็อยากจะให้ทางด้านของทหาร และรัฐบาลเลิกตั้งโต๊ะแถลง ว่าเราได้ปฏิบัติการอะไรไปบ้าง เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาเราก็จะเห็นแค่ว่าฝั่งไทยมักจะเขียนจดหมายโต้แย้งไปยังฝั่งของกัมพูชาทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ความไม่ปกติ ซึ่งการเขียนจดหมายโต้แย้งในลักษณะแบบนี้ประชาชนเบื่อแล้ว ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลและกองทัพควรจะทำมากที่สุดในตอนนี้คือทำตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ เพราะวันนี้สิ่งที่ประชาชนเห็นคือทั้งกองทัพ และรัฐบาลกำลังละเว้นเรื่องของกฎหมายรัฐธรรมนูญอยู่ นอกจากนั้นทางด้านของกองทัพเองก็ยังละเว้นจากกฎอัยการศึกที่มีการประกาศใช้ในพื้นที่ 7 จังหวัด บริเวณแนวชายแดนไทยกัมพูชา
นอกจากนั้นตนเองก็สังเกตุเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนเก่า รักษาการนายกรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกุล ก็มักจะออกมาอ้างว่า ถ้าเกิดการเสียดินแดนเกิดขึ้นก็มีการสั่งการกับทหารไปแล้ว ในเมื่อถ้ารัฐบาลสั่งมาแล้วทหารที่ถือกฎอัยการศึก จะต้องดำเนินการต่ออย่างไร และตนเองก็อยากจะตั้งคำถามว่าแล้วประชาชนคนไทย และทหารจะต้องเสียชีวิตอีกกี่คน ถึงจะปฎิบัติ แล้วเรื่องที่ทหารไปเหยียบกับระเบิดจนทำให้ได้รับบาดเจ็บ ขาขาดนั้น ตนเองก็อยากจะถามว่าทหารต้องสูญเสียขาอีกกี่ขา ทางการไทยถึงจะเลิกเขียนจดหมายส่งไปยังกัมพูชา
แล้วในวันนี้ตนเองเดินทางมางาน Defense & Security 2025 FAQ ไม่ได้จะมาดูยุทโธปกรณ์ แต่มาดูเครื่องปริ้นเตอร์ ถ้าหากต้นถามตนว่าทำไมถึงต้องมาดูเครื่องปริ๊นเตอร์ ตนเองก็อยากจะบอกว่า เผื่อรัฐบาลไทยจะไปซื้อปริ๊นเตอร์แล้วเขียนจดหมายคุยกับกัมพูชา แล้วตนเองก็มองว่ารัฐบาลควรเตรียมเครื่องปริ๊นเตอร์ เอาไว้เพื่อเขียนจดหมายลาออกของรัฐบาลเอง รวมถึงต้องเตรียมเครื่องปริ๊นเตอร์ เพื่อเขียนจดหมายลาออกของพวกแม่ทัพ นายกองต่างๆ และตนเองก็เชื่อว่าณวันนี้ประชาชนคงทนไม่ไหวที่เรายังคงสูญเสียดินแดนบางส่วนให้กับเขมร ซึ่งในขณะเดียวกันทางการไทยก็เอาแต่ทำท่าทีอ่อนแอ เป็นสุภาพบุรุษ
ซึ่งในภาวะสงครามตนเองมองว่าไม่มีเรื่องของความเป็นสุภาพบุรุษ นอกจากนั้นทางด้านของ ดร.มัลลิกา ยังบอกอีกว่า “คุณจะต้องไปรบกับใครก็ไม่รู้ คุณจะต้องไปยิงใครก็ไม่รู้ที่คุณไม่รู้จัก ซึ่งในสถานการณ์สงคราม ในสถานการณ์ที่คุณจะต้องปกป้องดินแดน แต่คุณบอกว่าคุณเป็นสุภาพบุรุษ ควายเถอะ คำว่าสุภาพบุรุษไม่มีในสนามรบ “ เมื่อไหร่ที่คุณบอกว่าคุณเป็นสุภาพบุรุษในสถานการณ์สงคราม ในสถานการณ์ที่เรากำลังสู้รบ นั่นเท่ากับว่าเราแพ้คนอื่น
นอกจากนั้นทางด้านของ ดร.มัลลิกา ยังบอกอีกว่า ตนเองอยากจะบอกว่าในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเมื่อวานนี้ หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ประชาชนไม่ได้สนใจเรื่องของการแถลงข่าวอีกต่อไปแล้ว ถ้าหากตั้งข้อสังเกตก็จะเห็นว่าเรตติ้งของทหารค่อนข้างตกลงมา ในขณะเดียวกันเรตติ้งของรัฐบาลก็ดูตกต่ำ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาถ้าเห็นว่าใครออกมาชี้แจงเรื่องของปัญหาบริเวณแนวชายแดนบุคคลนั้นก็จะถูกด่า เพราะในวันนี้ประชาชนรู้เท่าทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ประชาชนไม่มีอำนาจที่จะสามารถทำได้
หลังจากนั้นทีมข่าวสอบถามถึงประเด็นเรื่องของการยกเลิกสัญญาปฏิญญาระหว่างไทยกัมพูชา หลังมีทหารไทยเหยียบกับระเบิด ทางด้านของ ดร.มัลลิกา เผยว่า ตามหลักความจริงเราไม่ควรเซ็นสัญญาปฏิญญาตั้งแต่แรก เพราะเมื่อมายกเลิกทีหลัง จะทำให้เราเองถูกนานาประเทศตั้งคำถามว่าเราไม่ซื่อสัตย์ต่อสัญญาดังกล่าว และคบไม่ได้ แต่ส่วนตัวแล้วก็เห็นด้วยกับการยกเลิกสัญญาปฏิญญาดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญานั้นเราก็ยังคงเสียเปรียบกัมพูชาอยู่ ซึ่งการเซ็นสัญญาในลักษณะแบบนี้ก็เหมือนเป็นการที่เรายกดินแดนให้กับประเทศกัมพูชา แต่ตนเองก็อยากจะตั้งคำถามว่าหลังจากที่ฉีกสัญญาปฏิญญาไปแล้ว
ตนเองก็ยังไม่เห็นว่ารัฐบาล หรือทหารจะปฏิบัติการอะไร ที่ทำให้เห็นว่าเราได้มีการทวงคืนแผ่นดินที่สูญเสียให้กับทางกัมพูชาไป แล้วตนเองก็อยากจะตั้งคำถามว่าการที่นายกรัฐมนตรียกเลิกสัญญาปฏิญญา แล้วใส่ชุดอาสาไปยืนร้องเพลงชาติอยู่ที่บริเวณภูมะเขือนั้น เราจะได้แผ่นดินของเราคืนมาหรือไม่ และคงไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้เราได้แผ่นดินคืน เพราะวิธีการที่ทำให้เราได้แผ่นดินคืนนั้นคือการใช้ยุทธการ ยุทธศาสตร์ในการปฏิบัติกับประเทศกัมพูชา ตอนนี้ไทยเองมียุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่ากัมพูชาทุกอย่างแต่เราไม่ยอมปฏิบัติการอะไรเลย
แล้วตนเองก็อยากจะตั้งคำถามว่าที่หลายคนออกมาพูดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภาวะสงคราม ตนเองก็อยากจะถามว่าเหตุการณ์นี้ไม่เรียกว่าภาวะสงครามหรือ เพราะตอนนี้เราเผชิญทั้งสงครามทางด้านของจิตวิทยา และสงครามทางด้านใช้กำลัง ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่าภาวะสงคราม นอกจากนั้นการประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ 7 จังหวัดบริเวณแนวชายแดนไทยกัมพูชา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าประเทศไทยในตอนนี้อยู่ในภาวะสงคราม แล้วตนเองก็คิดว่าที่ทางด้านของรัฐบาลไม่ประกาศว่าไทยอยู่ในภาวะสงครามนั้นเนื่องจากกลัวว่าทหารจะมีอำนาจทั่วประเทศ
จากนั้นทีมข่าวจึงได้มีการสอบถามว่า สถานการณ์บริเวณแนวชายแดนในตอนนี้ ดูเหมือนอยู่ในสภาวะที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ปะทะได้ คิดว่าจะมีการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาเกิดขึ้นได้อีกหรือไม่ ทางด้านของ ดร.มัลลิกา เผยว่า ดินแดน แผ่นดิน สำคัญยิ่งกว่าชีวิตเรา ยิ่งกว่าชีวิตทหาร แล้วถ้าดินแดนสำคัญการที่เราจะไม่สู้รบเพื่อไปแย่งชิงดินแดนกลับคืนมาก็ควรจะเกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาเรามัวแต่ใช้เอกสารคุยกับกัมพูชา แต่ก็ไม่เคยได้ดินแดนคืน แล้วเอกสารเหล่านั้นจะยังจำเป็นอีกหรือ อย่างตัวของ MOU ที่มีการเขียนเอกสารเป็น 1000 แผ่น คุยกันมา 30 ถึง 40 ปี เราก็ไม่เคยได้บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว อานม้า กลับคืนมา โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณช่องอานม้า ที่ถูกกัมพูชายึดไปกว่า 10 ปี แถมยังมีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นบริเวณ คำถามที่ตนอยากจะถามคือถ้าหากว่าไม่เกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24-28 กรกฎาคมที่ผ่านมา เราได้แผ่นดินบริเวณช่องอานม้าคืนหรือไม่ ในวันนี้ส่วนตัวเลยมองว่าถ้าหากว่าเรามีความชัดเจนเรื่องของหลักหมุดแล้ว ก็ควรที่จะสร้างกำแพงบริเวณแนวชายแดนได้เลย เพื่อไม่ต้องให้ทหารที่ไปลาดตระเวนต้องไปเสี่ยงที่จะเหยียบกับระเบิดที่กัมพูชานำมาฝังเอาไว้อีก ซึ่งตอนนี้ตนเองก็ยังไม่เห็นท่าทีของรัฐบาล ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องของกำแพงเมื่อไหร่ นอกจากนั้นทางด้านของ ดร.มัลลิกา ยังมองว่าผลประโยชน์ในรัฐบาลชุดนี้ อาจจะอยู่ฝั่งของกัมพูชา แต่ประชาชนอาจจะไม่เห็น เพราะเป็นผลประโยชน์แอบแฝง
Advertisement
