
วันที่ 6 พ.ย. 68 ที่รัฐสภา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. นำหลักฐานอ้างว่าเป็นการรับส่วยจากเว็บพนันของตำรวจชุด PCT4 ยื่นต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมเข้าชี้แจงต่อ กมธ.ความมั่นคง โดยบรรยากาศการประชุมตึงเครียด ตั้งแต่เริ่มเปิดการประชุม เนื่องจากไร้เงาตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จเรตำรวจแห่งชาติ และกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี1
เนื่องจากทางคณะกรรมาธิการความมั่นคงได้ทำหนังสือเชิญให้ส่งตัวแทนเข้าชี้แจง แต่เมื่อไม่มีตัวแทนฝ่ายตำรวจเข้ามาชี้แจง ทำให้หนึ่งผู้เข้าร่วมประชุมพูดกลางที่ประชุมว่า หนังสือเชิญถ้าไม่มามีความผิดทางวินัย หรือหากตำรวจไม่มาชี้แจง อาจจะต้องไปถึงสำนักงาน
ในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการ พบว่านอกเหนือจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือ บิ๊กโจ๊ก จะเข้ามาให้ถ้อยคำเท่านั้น ยังมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปารีณา ศรีวนิช อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และตัวแทนจากคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกคนหนึ่งคนเข้ามาชี้แจง
โดยกรณีแรกที่มีการสืบหาข้อเท็จจริง คือกรณีการถูกกลั่นแกล้งจาก ผบ.ตร. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีขโมย หรือโกงข้อสอบ แต่ตัวแทนฝั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ไม่ได้เดินทางมาตามนัด เนื่องจากแจ้งขอเลื่อนการเข้าให้ถ้อยคำ โดยการสืบหาข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง
บรรยากาศในการสืบหาข้อเท็จจริงต้องบอกว่าเป็นไปอย่างดุเดือด โดย บิ๊กโจ๊ก กล่าวหาว่า อดีตคณบดีปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ มีผลประโยชน์ทับซ้อน และไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าตนเองคือคนโกงสอบ โดยยอมรับว่าได้ซองเอกสารจากลูกน้องที่ตกเป็นผู้ต้องหา แต่ไม่ทราบว่าในซองเอกสารดังกล่าวคืออะไร จึงมองว่าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวเป็นไปโดยไม่ชอบ อีกทั้งยังมองว่าอดีตคณบดีมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีการสอบของตนเอง เพราะมีสามีเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในสมัยของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น โดยมองว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นคู่กรณีของตนเอง และเชื่อว่า อดีตคณบดีอาจจงใจกลั่นแกล้งเพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องนี้
ด้านอดีตคณบดีนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโต้กับเรื่องนี้ทันทีว่า การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเรื่องการโกงข้อสอบเป็นไปโดยถูกต้องตามกระบวนการ และไม่ได้กลั่นแกล้งบุคคลใด ที่ผ่านมาตนเองยังได้อำนวยความสะดวกให้กับบิ๊กโจ๊กในหลายเรื่อง และเรื่องการนำรถเข้ามาจอดภายในคณะ โดยปกติแล้วไม่มีนิสิตคนใดสามารถนำรถเข้ามาจอดได้ รวมถึงการเลื่อนสอบในกรณีต่างๆ จนตนเองถูกครหานินทาจากนิสิต และอาจารย์คนอื่นๆ ด้วยซ้ำ
ส่วนกรณีที่พาดพิงไปถึงว่าตนเองเป็นภรรยาของอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ในสมัยของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็ยืนยันว่าสามีของตนเองสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 มาตั้งแต่ยศนายร้อย จนขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้เ พราะเหลืออายุราชการเพียง 1 ปี ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้ยังขอเอาเกียรติภูมิของความเป็นอาจารย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเป็นประกัน หากตนเองตั้งใจจากกลั่นแกล้งคงไม่เชิญบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วย เพราะตนเองยึดหลักนิติศาสตร์ คือการหาความจริงให้ได้ ส่วนการแจ้งความเอาผิดที่ใช้เวลานานเพราะทางคณะไม่ทราบมาก่อนจนกระทั่งมีข่าวออกมาจึงต้องแจ้งความหากปล่อยนิ่งเฉยไว้ก็อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้
โดยช่วงหนึ่งบิ๊กโจ๊กได้กล่าวกับตัวแทนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างดุเดือด ชี้หน้าอาจารย์และตัวแทนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า สามีของอดีตคณบดีขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้เพราะเป็นคนของ ผบ.ตร.ในขณะนั้น เพราะตามหลักอาวุโส 35% จะต้องเป็นผู้บัญชาการประจำไม่มีทางขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค อย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง และข้อสอบที่อยู่ภายในซองนั้นเป็นข้อสอบเก่า ไม่ได้ใช้ศอกในวันต่อไปมองว่าไม่ควรมาในวันนี้ ใครให้มาก็ไม่รู้ มองว่าทำไมฟังความข้างเดียวไม่ฟังความจากอีกฝั่งหนึ่งบ้าง
ขณะที่ตัวแทนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโตกลับทันทีว่าไม่ได้มีใครสั่งให้มาแต่ตนเองต้องการมาชี้แจงเรื่องนี้ในฐานะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว
ก่อนที่ประธานกรรมาธิการจะเบรกทั้งสองฝ่ายไว้และให้ชี้แจงตามกรณีที่ให้ข้อมูลมาเท่านั้น
จังหวะที่ภายในห้องประชุมกำลังดุเดือด พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 หรือตำรวจไซเบอร์ 1 รีบเดินทางมาจากทำเนียบรัฐบาล หลังการแถลงข่าว MOU ปราบสแกมเมอร์ เพื่อชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ ในประเด็นเกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว
โดยชี้แจงว่าตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือตำรวจไซเบอร์ ให้อำนาจหน้าที่ในการสืบสวนคดีในลักษณะดังกล่าว อีกทั้งการสืบสวนในคดีนี้เป็นการขยายผลจากอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในคดีเว็บพนันออนไลน์ของมินนี่ ซึ่งมีพยานหลักฐานเป็นจำนวนมาก ต่อมาพบข้อมูลการพูดคุยสนทนาในเชิงลักษณะการนำข้อสอบออกจากห้องสอบเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญาจึงเข้าข่ายขอบเขตอำนาจที่สามารถดำเนินการได้ อีกทั้งยังยืนยันว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่ได้เป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานไปถึง การให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน และการออกทีวีหลายครั้งก็ยืนยันว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่ใช่ผู้ต้องหาและให้เกียรติมาโดยตลอด
ส่วนเรื่องคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ดำเนินการตนเองไม่ทราบในส่วนนี้ ส่วนคดีที่เกี่ยวข้องกับการโกงข้อสอบขณะนี้ทราบว่าอัยการได้ส่งสำนวนกลับมาให้ตรวจสอบเพิ่มเติมใน 5 ประเด็น ซึ่งขณะนี้ทราบว่าตำรวจเจ้าของคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามประเด็นที่อัยการส่งสำนวนกลับมา
Advertisement