
วันที่ 27 ต.ค. ที่บ้านพระอาทิตย์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พร้อมด้วย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์นายวีระ สมความคิด นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นายคมสัน โพธิ์คง ร่วมแถลงข่าว ภาคประชาชนประชาชนได้มีความห่วงใยต่อกรณีการประชุม JBC GBC และถ้อยแถลงร่วมสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา โดยนายปานเทพ ระบุว่า สำหรับผลการประชุมของประเทศไทยต่อนานาประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาคประชาชนได้มีความห่วงใยต่อกรณีการประชุม JBC GBC และถ้อยแถลงร่วมสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา และบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกาว่าด้วยเรื่องความร่วมมือแร่หายากดังต่อไปนี้
ประการแรก การประชุมที่ผ่านมาเป็นการประชุมที่ไม่เปิดเผยให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียได้ทราบมาก่อน และมีลักษณะการปกปิดข้อมูล แม้จะอ้างว่าเป็นความลับและกลยุทธ์ในการเจรจา อย่างไรก็ตามประชาชนชาวไทยกลับได้รับข้อมูลอันครบถ้วนจากผู้นำกัมพูชาและในข่าวจากต่างประเทศ อื่นๆ แทน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกาว่าด้วยเรื่องความร่วมมือแร่หายาก กระทำการไปโดยปกปิดต่อสาธารณชนชาวไทย และสุ่มเสี่ยงทำให้เกิดการชักศึกเข้าบ้านที่ประเทศไทยกลายเป็นศัตรูกับประเทศจีนในสมรภูมิและสงคราม ตลอดจนอำนาจต่อรองระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา
ประการที่สอง ขาดวัตถุประสงค์สำคัญในการให้ประเทศกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อการละเมิด MOU2543 อย่างร้ายแรง ทั้งการยิงอาวุธสงครามใส่พื้นที่พลเรือนจนมีพี่น้องประชาชนชาวไทยเสียชีวิต พิการ บาดเจ็บจำนวนมาก อันเป็นการละเมิดร้ายแรงตามข้อ 8 ของ MOU 2543 และการวางทุ่นระเบิดใหม่ทำให้ทหารไทยต้องเสียชีวิต พิการ บาดเจ็บจำนวนมาก อันเป็นการละเมิดร้ายแรงตามข้อ 3 ของ MOU 2543 ประการที่สาม รัฐบาลไทยและตัวแทนประเทศไทยในทุกการประชุม ไม่สงวนสิทธิการยกเลิก MOU 2543เพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดร้ายแรงตามข้อ 8 และข้อ 3 ของ MOU 2543 และไม่ใช้สิทธิยกเลิกตามมาตรา 60 ของอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยการทำสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 ย่อมทำให้เกิดคำถามว่ารัฐบาลไทยจะใช้สิทธิและข้อบทใดในการเชื่อมโยงกับการทำประชามติที่รัฐบาลไทยได้แถลงนโยบายเอาไว้ต่อรัฐสภา และจะใช้สิทธินี้เมื่อไหร่และอย่างไร รวมทั้งจะมีหลักประกันใดที่จะรับรองได้ว่าประเทศไทยจะไม่เสียสิทธิและเสียหายจากการยกเลิก MOU 2543 เนื่องจากรัฐบาลไทยและตัวแทนประเทศไทยไม่สงวนสิทธิอันพึงได้ของประเทศไทย
ประการที่สี่ นอกจากผู้แทนรัฐบาลไทยจะยังไม่ได้ใช้สิทธิตามมาตรา 60 ของอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยการทำสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 แล้ว ประเทศไทยกลับไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้กล่าวอ้างถึงความจำเป็นของการประชุม JBC ทั้ง 2 ข้อ กล่าวคือ ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์การให้พลเรือนกัมพูชาออกจากบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ได้แต่อย่างใด และไม่สามารถสร้างกำแพงรั้วในพื้นที่ซึ่งตกลงกันได้แล้ว ซึ่งเป็นแนวทางมิให้กัมพูชาเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ โดยกัมพูชาอ้างว่าไม่ได้รับมอบอำนาจ
มาให้เจรจาเรื่องรั้วและกำแพง ทำให้ประเทศไทยกลับกลายเป็นผู้ขออนุญาตกัมพูชาทั้งสองกรณี ต่างจากข้ออ้างในการประชุมแต่เดิมว่าจะเพียงแจ้งให้กัมพูชาเพื่อทราบเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไม่มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนทั้งสองประเด็นข้างต้น ย่อมทำให้ชุมชนกัมพูชาในบ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว ไม่ต้องออกจากพื้นที่รุกล้ำดังกล่าวจนกว่ากัมพูชาจะสมัครใจยินยอม เช่นเดียวกับการสร้างรั้วและกำแพงด้วย ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียพื้นที่ดังกล่าวไปตลอดกาลและไม่สามารถนำกลับคืนมาได้อีก
นอกจากนี้ พื้นที่ที่ประเทศไทยยังนำกลับคืนมาไม่ได้ เช่น ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา ครึ่งหนึ่งของช่องอานม้า และอื่นๆ ย่อมไม่สามารถนำคืนกลับมาเป็นของประเทศไทยได้อีก จนกว่ากัมพูชาจะสมัครใจยินยอม ตลอดจนพื้นที่ 11 จุดที่ประเทศไทยนำกลับมาได้โดยพลโทบุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ก็มีความสุ่มเสี่ยงที่กัมพูชาจะอ้างสู่นานาชาติได้ว่า ประเทศไทยจะต้องนำคืนกลับมาตามแผนที่ 1:200,000 ที่ปรากฏอยู่ในข้อ 1 (ค) ของ MOU 2543 และกัมพูชาอาจอ้างด้วยว่า ประเทศไทยละเมิดตามข้อ 5 ตาม MOU 2543 เพราะมีการสร้างฐานธงชาติไทยแบบถาวรบริเวณภูมะเขือ หากประเทศไทยปล่อยให้มีการเดินหน้าใช้ MOU 2543 ต่อไป โดยไม่มีการตั้งข้อสงวนเอาไว้เพื่อยกเลิก MOU 2543 ดังกล่าว
ประการที่ห้า การที่นายกรัฐมนตรี และรวมถึงกระทรวงการต่างประเทศอ้างว่า จะใช้เทคโนโลยี LiDAR จะมาทดแทนแผนที่ 1:200,000 ในการประชุม JBC ที่ผ่านมา นั้น เมื่อตรวจสอบกับขั้นตอนที่ 2 ในข้อ 4 ของ TOR 2546 ได้ระบุอย่างชัดเจนในขั้นตอนดังกล่าวว่า การใช้เทคโนโลยี LiDAR หรือภาพถ่ายทางอากาศ นั้น เป็นเพียงเส้นสำหรับการสำรวจเท่านั้น แต่เส้นเขตแดน(Boundary Line) ในขั้นตอนดังกล่าวต้องเป็นไปตามข้อ 1 ของ MOU 2543 อย่างเดียว และอาจขัดแย้งกับรายงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดน ชุดแรก ปี ค.ศ. 1904 โดยทั้งสองประเทศตกลงในการประชุม JBC ตามข้อ 6 (ข) ระบุว่าจะไม่กระทบเขตแดนระหว่างประเทศด้วย ซึ่งอาจหมายถึงว่าการใช้เทคโนโลยี LiDAR จะไม่เปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนตามข้อ 1 ของ MOU 2543 อีกทั้งรัฐธรรมนูญของกัมพูชา มาตรา2 และ มาตรา 55 กำหนดให้ใช้แผ่นที่มาตราส่วน
1 : 200,000 ระหว่างสยามฝรั่งเศษเท่านั้น ข้อตกลงอย่างอื่นต้องยกเลิก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีแผ่นที่อย่างอื่นที่มาทดแทนความผิดพลาดของแผ่นที่ 1 : 200,000
ด้านนายวีระ ระบุว่าในวันที่ 31 ต.ค. 2568 เวลา 13.00 น. ชาวบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว จะมีการเข้าไปผลักดันคนกัมพูชาออกจากพื้นที่ประเทศไทยที่รุกช้ำเข้ามากว่า 71 ไร่ ซึ่งต้องออกไปอยู่หลังเส้นเขตแดน หรืออย่างน้อยต้องยู่หลังเส้นสีแดงที่กัมพูชากล่าวอ้าง โดยยืนยันว่ากัมพูชาไม่มีสิทธิ์ ทั้งนี้ที่ต้องดำเนินการเนื่องจากเราไม่มีหลักประกันว่าจะเสร็จสิ้นอีกกี่ปีในการปั่นเขตแดน และย้ำว่าจะเตรียมอุปกรณ์สำหรับการรื้อถอน ไม่กลัวว่าจะบานปลาย เพราะเป็นแผ่นดินไทย อยู่ใต้กฎหมายไทย โดยเจ้าของบ้านขอใช้สิทธิ์ เมื่อพูดดีๆ ให้ออกแล้วไม่ออก ทั้งนี้อย่าลืมว่าผู้ว่าราชการจังหวัด รัฐบาล และกองทัพภาคที่ 1 ยื่นเส้นตายให้ออกตั้งแต่ 10 ตุลาคม 2568 แต่กัมพูชาไม่กำเนินการทั้งยังไม่ส่งแผนอพยพ จนทำให้แม่ทัพภาคที่ 1 ไม่ประชุมร่วม RBC
นอกจากนี้ ตนได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวในพื้นที่บ้านเขาดินจังหวัดสระแก้ว ว่าจะมีการเปิดบ้านบ้านคลองลึก ในวันที่ 1 พ.ย. 68 จึงขอใหเประชสชนร่วมติดตามว่าจะจริงหรือไม่.
Advertisement