วันที่ 15 ตุลาคม 2568 ในการประชุมร่วมของรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายสรุปถึงความสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อนที่จะมีการลงมติในวันนี้
โดยณัฐพงษ์ระบุว่าตนได้รับฟังข้อห่วงใยจากสมาชิกหลายคนที่มีการอภิปรายมาว่าร่างฯ ของพรรคประชาชนจะทำจริงได้หรือไม่ ซึ่งตนและ สส.พรรคประชาชนก็เห็นด้วยว่าอยากให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำได้ และตนยืนยันว่าผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมสามารถทำได้ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนสามารถทำได้ ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
ข้อคิดสำคัญที่พรรคประชาชนใช้ในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือความเชื่อว่าการเมืองคือเรื่องของความเป็นไปได้ที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับการเมืองแห่งความเป็นจริง จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ห้ามไม่ให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน จึงนำมาสู่ข้อเสนอของพรรคประชาชนที่ให้มีคณะกรรมธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมคือรัฐสภาเลือกมา แม้อาจทำให้หลายคนกังวลว่ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้อาจไม่นำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับปลายทางในฝันของหลายคน แต่สิ่งที่อยากเน้นย้ำก็คือสิ่งที่ตนและพรรคประชาชนใช้ในการตัดสินใจ ไม่ได้ตัดสินใจบนพื้นฐานว่าอยากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างเดียวเท่านั้น แต่การลงมติในวันนี้คือเรื่องของความเป็นไปได้ในการหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไป การลงมติในวันนี้จะเป็นการปลดโซ่ตรวนทุกอย่างของกระบวนการในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ยากมาก
“เข็มนาฬิกาที่ควรจะถูกหมุนต่อด้วยมือของประชาชนจะไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของนักการเมือง แต่เป็นเข็มนาฬิกาแห่งชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคน ที่ควรจะต้องเปิดโอกาสให้ตัวแทนของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุดในกระบวนการการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้” ณัฐพงษ์กล่าว
ณัฐพงษ์ยังกล่าวต่อไปว่า เหตุที่จำเป็นต้องให้ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด ก็เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่ยาวิเศษ แต่คือสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นเมืองที่มีความน่าอยู่ เพราะมันเกี่ยวข้องกับการผลักดันการกระจายอำนาจ ให้ปัญหาใกล้ตัวของประชาชนได้รับการแก้ไข เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยบทบัญญัติที่กำหนดให้รัฐจะต้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน รัฐธรรมนูญยังเกี่ยวข้องกับการทำให้รัฐมีความทันสมัย โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อประชาชน เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการออกแบบระบบการเมืองและระบบการถ่วงดุลตรวจสอบให้เป็นไปตามหลักสากล รัฐธรรมนูญยังเกี่ยวข้องกับการทำให้ประเทศไทยมีอนาคตที่เปิดกว้างกับทุกคน ไม่ได้ถูกล็อกอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันก็ไม่เป็นไร แต่หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่ชื่อของผู้ยกร่างว่าจะเรียกว่าอะไร แต่อยู่ที่กระบวนการในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตั้งแต่ชั้นการยกร่างจนถึงชั้นสอบถามประชาชนผ่านการออกเสียงประชามติ ว่ามีความยึดโยงกับประชาชนมากน้อยขนาดไหนต่างหาก
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า แม้รัฐธรรมนูญที่จะได้จากกระบวนการในครั้งนี้อาจไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับปลายทางในฝันของใครหลายคน แต่การลงมติในวันนี้จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อได้ เพราะจะเป็นการเปิดประตูเริ่มนับหนึ่งในการลบล้างมรดก คสช. เช่น การยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นจุดเริ่มต้นของการยกเลิกนิติสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขในหมวดศาลและองค์กรอิสระให้มีความยึดโยงกับประชาชนและเป็นไปตามหลักสากล
เป็นการวางรากฐานในการสร้างสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ดี เช่น การออกแบบระบบการเลือกตั้งใหม่เพื่อให้จำนวน สส. ในสภาสะท้อนกับคะแนนเสียงที่ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ออกแบบระบบพรรคการเมืองเพื่อปิดช่องไม่ให้มี สส. ขายตัวเป็นงูเห่า ออกแบบที่มาและอำนาจของสมาชิกวุฒิสภาถ้าหากยังมีอยู่ให้มีความเหมาะสมและเป็นไปตามหลักสากล รวมถึงการแก้ไขในครั้งนี้จะเป็นกุญแจอีกดอกที่เปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับต่อไปในอนาคต ไม่ให้ถูกเครือข่ายอิทธิพลของรัฐพันลึกฉุดรั้งเอาไว้แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าการหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศไทยให้เดินหน้าต่อในวันนี้ไม่ได้เป็นการหมุนเข็มนาฬิกาทางการเมืองที่อยู่บนข้อมือของนักการเมือง แต่มันคือเข็มนาฬิกาแห่งชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคน เพื่อทำให้เมืองไทยมีความน่าอยู่ คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี รัฐมีความโปร่งใส และมีอนาคตที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน
ประเทศไทยที่น่าอยู่ในศตวรรษที่ 21 ต้องไม่ใช่แค่ประเทศที่เมืองน้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวกอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องมีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีสวนสาธารณะใกล้บ้าน อากาศสะอาด ขนส่งสาธารณะต้องดี รถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์จะไม่ใช่หนี้ก้อนแรกของคนทำงานครั้งแรกอีกต่อไป เพราะเมื่อมีขนส่งสาธารณะที่ดีไม่ว่าคนรวยหรือคนจนก็สามารถที่จะขึ้นขนส่งสาธารณะได้เหมือนกัน ประเทศที่ดีคนต้องเดินได้ดี ส่งเสริมทางสุขภาพและเศรษฐกิจสองข้างทางไม่ให้ไปกระจุกตัวอยู่ในห้างและปั๊มน้ำมัน
ประเทศไทยไม่มีวันมีเมืองที่น่าอยู่ถ้าไม่ผลักดันการกระจายอำนาจ เฉพาะเมืองหลวงที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมีประชาชนเลือกตั้งมาโดยตรงมากสุดในประเทศนี้ ลำพังแค่อำนาจในการย้ายเสาไฟฟ้ายังไม่มี แล้วประเทศไทยจะเป็นเมืองที่น่าอยู่ได้อย่างไร หากไม่ผลักดันการกระจายอำนาจและสถาปนาอำนาจท้องถิ่นไว้ในระดับรัฐธรรมนูญ
ตนอยากเห็นประเทศไทยที่คนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตั้งแต่แม่สายถึงเบตง ตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์จนถึงอุบลราชธานี คนทุกวัยตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอนต้องมีรายได้ดี การศึกษาดี สุขภาพดี เด็กทุกคนเกิดมาในพื้นที่ใดก็ตามต้องได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกัน ครูมีเวลาสอนมากกว่าเวลาที่ใช้ไปกับการทำงานเอกสาร ผู้สูงอายุทุกคนได้รับการรักษาที่มีคุณภาพ เกษตรกรและแรงงานมีรายได้และอนาคตที่มั่นคง คนหนุ่มสาวกล้าคิด กล้าฝัน กล้าลงมือทำ กล้าที่จะผิดพลาด เพราะมั่นใจว่ารัฐจะดูแลทั้งคนที่อยู่ข้างหน้าและคนที่อยู่ข้างหลังของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นปู่ย่าตายายหรือลูกหลาน โดยไม่ทอดทิ้งเมื่อเขาล้มลง
.เป็นประเทศที่ข้าราชการทำงานอย่างมีไฟ รับใช้ประชาชน เพราะระบบราชการดึงดูดคนเก่งและมีจิตสาธารณะให้เข้ามาช่วยกันพัฒนาประเทศ จะออกแบบให้ประเทศไทยสามารถดูแลและส่งเสริมคนทุกคนแบบนี้ ให้เท่าทันต่อศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร หากไม่เริ่มคิดกันใหม่ ออกแบบกันใหม่ ในหมวดของสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ที่รัฐมีหน้าที่ในการคุ้มครองและดูแลคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยต้องเป็นรัฐที่ทันสมัย มีทั้งความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และมีประชาชนอยู่ในศูนย์กลางสมการแห่งอำนาจ ขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาวะการถดถอยของประชาธิปไตยประเทศไทยก็ไม่ต่างกัน ดัชนีชี้วัดการทุจริต ดัชนีชี้วัดความเป็นประชาธิปไตย ผลสำรวจความเชื่อมั่นต่อนักการเมืองและระบบการเมือง ล้วนมีแต่ทรงกับทรุดทุกตัวชี้วัด ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของตึก สตง. ที่ถล่ม พรรคการเมืองที่ถูกยุบเพียงเพราะการเสนอกฎหมาย คนไทยมีนายกรัฐมนตรี 3 คนในรอบ 2 ปี หรือกติกาที่ทำให้เกิด สว. ฮั้ว หรือ สส. งูเห่า ก็อาจจะเกิดขึ้นจากการที่เรามีรัฐที่ใหญ่เทอะทะมากเกินไปจนไม่ตอบสนองต่อประชาชน ระบบราชการที่อืดอาด อำนาจรัฐที่มีไว้รีดไถ กฎหมายที่มีไว้ขัดขวางคนทำธุรกิจ ทำให้คนไทยมีแต่เสื่อมศรัทธา รู้สึกไม่อยากเสียภาษีเพราะจ่ายไปเท่าไหร่ก็รู้สึกว่าถูกนำไปใช้จ่ายอย่างไม่คุ้มค่า ไม่มีความโปร่งใส บริการสาธารณะที่ได้รับกลับมาก็ขาดคุณภาพ
คำถามคือจะต่อสู้กับความทดถอยทางประชาธิปไตยเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่เริ่มจากการคิดใหม่ ออกแบบใหม่ ให้ประชาธิปไตยส่งมอบผลลัพธ์ต่อประชาชนและตอบสนองต่อประชาชน เช่น การปรับปรุงระบบการถ่วงดุลตรวจสอบให้มีความยึดโยงกับประชาชนและเป็นไปตามหลักสากล เช่น การวางหลักให้รัฐต้องดำเนินการทุกอย่างด้วยความโปร่งใสมีประสิทธิภาพ
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่ารัฐธรรมนูญเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้อนาคตของคนไทยทุกคนมีโอกาสที่เปิดกว้าง ประเทศไทยต้องการรัฐบาลในอนาคตที่เลือกลงทุนได้อย่างตรงจุด ไม่ได้ถูกตีกรอบให้อยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สิ่งที่รัฐควรจะต้องเลือกลงทุนอย่างถูกจุดมีอยู่ 4 เรื่องใหญ่ นั่นคือการเลือกลงทุนในคน เลือกลงทุนในเมือง เลือกลงทุนในดิจิทัล และเลือกลงทุนในความยั่งยืน
การลงทุนเรื่องดิจิทัล วัตถุประสงค์ก็คือการเปลี่ยนจากการเปลี่ยนจากกระดาษไปเป็นรัฐแพลตฟอร์ม วันนี้รัฐบาลต่างๆ ทั่วโลกไม่ได้กำลังแข่งกันในการเป็นรัฐบาลดิจิทัลเท่านั้น แต่กำลังแข่งกันในการเป็นรัฐแพลตฟอร์ม Digital ID, e-KYC, Payment System, Data Sharing ฯลฯ คือสิ่งที่รัฐต่างๆ จำเป็นต้องทำเพื่อทำให้ตัวเองเป็นแพลตฟอร์มที่ส่งเสริมและยกระดับผู้ประกอบการทุกคน และทำให้ประชาชนทุกคนได้ประโยชน์
ส่วนในเรื่องของความยั่งยืน ก็มีตั้งแต่เรื่องของไฟฟ้าสะอาด เศรษฐกิจสีเขียว คาร์บอนเครดิต การจัดการขยะ ข้าวยั่งยืน ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อาหารอนาคต รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดในประเทศไปเป็นห่วงโซ่อุปทานสีเขียว นี่คือการลงทุนเพื่อสร้างอนาคตและสร้างโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับทุกคนในประเทศนี้ ให้เห็นทิศทางการเติบโตของประเทศ เพื่อเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมตะวันตกดินในประเทศไปเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่ง
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าการลงทุนทั้งสี่เสา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคน เมือง ดิจิทัล และความยั่งยืน คือการลงทุนเพื่ออนาคต ที่ทำให้ทุกคนเห็นโอกาสที่เปิดกว้างและการเติบโตของประเทศร่วมกัน แม้รัฐธรรมนูญจะไม่ใช่ยาวิเศษแต่มันคือสิ่งจำเป็นในการทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น เพื่อทำให้รัฐตอบสนองต่อประชาชน และไม่ว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาล หากประเทศไทยยังไม่ริเริ่มกระบวนการในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตั้งแต่วันนี้ เข็มนาฬิกาของประเทศไทยก็จะยังคงหยุดนิ่งต่อไป
วันนี้ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และวุฒิสภา ต่างแสดงเจตจำนงร่วมกันว่ายินดีที่จะรับทุกร่างเข้าสู่การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการวาระที่สอง นี่คือจังหวะที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้นาฬิกาของประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งตนและพรรคประชาชนขอเสนอว่าให้ใช้ร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลักในการพิจารณา เพราะสิ่งที่พรรคประชาชนคิดมานั้นทำได้ และมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด
“หากวันนี้เราปล่อยให้ความกลัวเป็นตัวกำหนดอนาคตของประเทศ ประเทศไทยจะไม่มีวันเริ่มเดินหน้าอะไรใหม่ได้เลย และผมมั่นใจว่าเราสามารถทำให้ร่างจากทุกพรรคที่จะออกมาจากวาระที่สองในชั้นกรรมาธิการเป็นร่างที่ทำได้ เพียงแต่วันนี้เราจะต้องไม่ปิดประตูแห่งความเป็นไปได้ของตัวเอง ผมอาจสัญญาไม่ได้ว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ได้จากกระบวนการที่กำลังทำในวันนี้นั้นจะเป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับปลายทางในฝันของใครหลายคน แต่ผมมั่นใจได้อย่างหนึ่งว่ากระบวนการที่เราเริ่มทำกันในวันนี้จะเป็นการหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศไทยให้เดินหน้าต่อจริงๆ เพื่อให้เรามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด และเป็นตัวแทนฉันตามมติใหม่ของประเทศ” ณัฐพงษ์กล่าว
ณัฐพงษ์ยังกล่าวทิ้งท้ายว่าพรรคประชาชนยืนยันว่าจะลงมติรับหลักการในทุกร่าง เพื่อไปคุยกันต่อในชั้นกรรมาธิการวาระสอง โดยเสนอให้ร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก เพื่อทำให้เก็บนาฬิกาเรือนนี้หมุนต่อไปด้วยมือของประชาชนคนไทยทุกคนไม่ได้หมุนด้วยมือของนักการเมือง
Advertisement