(14 ต.ค. 2568) นางอังคณา นีละไพจิตร หรือ สว.อังคณา สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเปิดใจกับทีมข่าวอัมรินทร์ทีวีว่า กรณีที่มีกระแสข่าวที่ตนเองพูดว่า "ตอนที่ F-16 ไทยถล่มกัมพูชาประเทศของเขาก็เสียหายนั้น" ยืนยันว่าสิ่งที่ตนเองพูดไปนั้น คือข้อเท็จจริง และที่จำได้คือตนเองพูดว่าเรื่องดังกล่าวเป็นปฏิบัติการ ทางทหาร ซึ่งไทยถูกโจมตีก่อน จึงได้มีการส่งกองกำลังออกไปเพื่อตอบโต้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นปฏิบัติการทางทหารที่สามารถทำได้ ในพื้นที่สู้รบ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้เข้าข้างกัมพูชา
ส่วนกรณีที่มีคนไม่เห็นด้วยกับ สว.อังคณา และพยายามจะล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนตนเองออกจาก สว. นั้น เรื่องดังกล่าวสามารถทำได้ แต่ปัญหาคือรัฐธรรมนูญไม่ได้เปิดโอกาส หากทนายเกิดผล หรือใครก็ตาม ที่อยากจะให้มีการถอดถอนตนเอง ต้องมาแก้รัฐธรรมนูญก่อน และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างขั้นตอนการแก้รัฐธรรมนูญ และตนเองก็อยากจะให้ทุกคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น และอยากให้มีการบรรจุในรัฐธรรมนูญเรื่องของการถอดถอน นักการเมือง หากรัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ก็สามารถทำได้
ส่วนกรณีที่ตนเองได้มีการแสดงความคิดเห็น กรณีที่พื้นที่ชายแดน ที่มีการประกาศกฎอัยการศึก แต่มีกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์เข้าไป กระทำการเปิดเสียงต่างๆ นั้น เรื่องนี้ รัฐบาล รวมถึง นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาตอบคำถามเพราะเป็นหน้าที่ ว่าใครเป็นคนอนุญาตให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้าพื้นที่ ซึ่งวันนี้ "กัน จอมพลัง" ได้ ยุติพฤติกรรมดังกล่าวแล้ว ส่วนตัวก็ขอขอบคุณที่ไม่กระทำการดังกล่าวต่อไป เพราะเป็นการสร้างเงื่อนไขหรือการยั่วยุ เพราะจะทำให้ประเทศไทยนั้นลำบากในอนาคต ในเวทีทวิภาคีระดับภูมิภาค รวมถึงในเวทีระดับโลก โดยเวลาที่ประเทศไทยต้องไปตอบคำถามหรือชี้แจง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็จะลำบาก
ส่วนกรณีที่ คุณบุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี ที่โพสต์ข้อความเชิญอยากให้สว.อังคณาลงพื้นที่แนวชายแดน เพื่อไปดูพื้นที่จริงนั้น ตนเองเห็นภาพข่าวและรับข้อมูลอยู่ตลอดอยู่แล้ว อย่างเมื่อวานมีการเก็บกู้ทุ่นระเบิด หรือ มีรถเข้าไปรื้อถอนบ้านเรือน ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ชอบธรรม เพราะเป็นข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่การสู้รบ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปเดินเพ่นพ่านได้ หนำซ้ำยังเป็นพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกอีกด้วย ส่วนตัวมองว่า การที่ "บุ๋ม ปนัดดา" เชิญชวนตนเองไปนั้น เป็นลักษณะของการท้าทาย เพื่อความสะใจ แต่ก็ขอให้มีเหตุ และมีผลมากกว่านี้ เพราะขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ ก็กำลังปฏิบัติงานอยู่
พร้อมทัังยืนยัน สิ่งที่ตนทำไปทั้งหมดเพราะเป็นห่วงประชาชนที่อยู่แนวชายแดน และเป็นห่วงหน้าตาของประเทศไทย ในเวทีระดับโลก ซึ่งการเจรจากำลังคืบหน้าไป จึงได้ออกมาท้วงติงในวันนี้ ส่วนจะมีกระแสข่าวสวนกลับมาต่อว่าตนเองเป็นจำนวนมาก ตนเองน้อมรับแต่ก็อยากจะฝากบอกว่า สังคมไทยต้องมีสติมากกว่านี้ และสิ่งสำคัญ คือเรื่องของการสร้างกระแสความเกลียดชัง พลเรือนของกัมพูชา อยากให้มองว่าอย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถย้ายประเทศหนีกันได้ ความเป็นพลเมืองของทั้ง 2 ประเทศ ก็ใกล้ชิดกันและเป็นพี่น้องกัน วันหนึ่งจะต้องกลับมาทำมาค้าขายกัน ถ้าหากเราสร้างกระแสของความเกลียดชัง จนกลายเป็นว่าเราไม่สามารถไปหาสู่และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ ก็ถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้น
ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้ฝั่งกัมพูชา ก็เคยเปิดเสียงดังลักษณะแบบเดียวกับ กับที่อินฟลูเอนเซอร์ ฝั่งไทยทำ และเปิดใส่ฝั่งไทย เราก็สามารถนำเรื่องดังกล่าวไปร้องกรรมการสิทธิมนุษยชนได้เหมือนกัน หากมีหลักฐานว่าทำให้ประชาชนของเราเดือดร้อน และอยากจะให้ประเทศไทยนั้นตั้งสติ ในฐานะที่เราพูดมาโดยตลอดว่าเราเป็นประเทศที่เคารพกติกาสากล ดังนั้นการสร้างแบบอย่างที่ดี ก็จะถือว่าเป็นผลดีกับประเทศไทย
Advertisement