(14 ต.ค. 2568) ที่ประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในวาระแรก โดยจะมีการประชุมระหว่างวันที่ 14-15 ต.ค. 2568
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีนายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 ว่า การใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้กินเวลาประมาณ 8 ปี มีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทางการแก้ไขรายมาตราและแก้ไขทั้งฉบับ โดยปี 2564 ตนและพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้นมีการเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญ 6 ฉบับ เช่น มาตรา 256 หรือมาตรา 272 ซึ่งเราทั้งหมดประสบความสำเร็จบังคับใช้เพียงแค่ฉบับเดียว คือการแก้ไขบัตรเลือกตั้งจากใบเดียวเป็นบัตรสองใบที่ใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. 2564
เหตุผลที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนไว้ให้แก้ยาก เพราะปกติการแก้รัฐธรรมนูญ เสียงข้างมากของที่ประชุมร่วมรัฐสภา หากได้เสียเกินกึ่งหนึ่งก็สามารถแก้ไขได้ แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเงื่อนไขเพิ่มเติม นอกจากจะใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา ยังประกอบไปด้วยเสียงของฝ่ายค้านไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และเพิ่มเติมเสียงของวุฒิสมาชิกไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 รวมทั้งบางมาตรา หากจะแก้ต้องทำประชามติ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ยากยิ่ง
ทั้งนี้หลายพรรคการเมืองกำหนดการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในนโยบายหาเสียง พรรคประชาธิปัตย์ก็สนับสนุนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น และเราเป็นพรรคหนึ่งที่ไม่ได้ให้ความเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 และไม่เห็นด้วยกับบทเฉพาะกาล ที่กำหนดเงื่อนไขวุฒิสภาสามารถลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีทั้งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แต่เมื่อประชาชนลงประชามติเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ตนและพรรคประชาธิปัตย์ก็ยอมรับกับสิ่งที่ประชาชนตัดสิน และก่อนร่วมรัฐบาลสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก่อนเข้าร่วมรัฐบาลได้มีการกำหนดเงื่อนไข 3 ข้อ รัฐบาลต้องยึดความซื่อสัตย์สุจริตในการบริหารราชการแผ่นดิน จะต้องนำนโยบายประกันรายได้เกษตรกรบรรจุเป็นนโยบายรัฐบาล และต้องสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น โดยต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2
นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งครั้งที่มีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา และเหตุผลที่ยอมรับกันอยู่แล้วว่าเพื่อตอบสนองต่อ MOA ที่เป็นข้อตกลงกันระหว่างสองพรรคการเมือง แม้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าการแก้แก้ไขปัญหาปากท้องสำคัญมากกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน แต่เมื่อประธานรัฐสภาและพรรคการเมืองได้มีการยื่นเรื่องเข้าสู่การประชุมพิจารณา และบรรจุวาระเข้าสู่การประชุมทั้ง 3 ร่าง เพื่อแก้มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 เปิดทางสสร. ซึ่งรัฐสภามีหน้าที่พิจารณา 3 ร่าง คือของพรรคประชาชน เพื่อไทย และภูมิใจไทย
"ซึ่งสำหรับตนจุดยืนการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่มีอะไรเปลี่ยน ซึ่งเห็นว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 โดยในหมวด1 เป็นบททั่วไป มี 5 มาตรา แต่ที่สำคัญยิ่ง3 มาตรา คือ มาตรา 1 ระบุไว้ชัดเจนว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาตรา 5 วรรคท้าย เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใดให้กระทำการนั้น หรือวินิจฉัยกรณีนั้นปล่อยตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งข้อความที่ปรากฏนี้ ไม่ใช่ปรากฏเพียงแค่ในรัฐธรรมนูญปี 60 แต่มีต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2492 และต่อเนื่องมาเป็นลำดับทั้งความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มิติทางกฎหมาย หากไม่มีบทบัญญัติใดรองรับไว้ในรัฐธรรมนูญ และมิติทางการเมืองการปกครองที่ยึดหลักประชาธิปไตยคู่กับองค์พระมหากษัตริย์อย่างสมดุล จึงเป็นเหตุผลที่ตนเห็นว่าคงจะคงหมวด 1 เอาไว้ และในการจัดตั้งสสร. ก็ไม่ควรไปแตะ ส่วนหมวด2 มี 19 มาตรา ทั้งแต่มาตรา 6-24 เป็นหมวดพระมหากษัตริย์ จึงเป็นเหตุผลว่าตนและพรรคประชาธิปัตย์ แสดงจุดยืนมาตามลำดับ ถ้าจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องไม่แตะหมวด 1-2 หรือแปลง่ายๆ คือการห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1-2 โดยเด็ดขาด" นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่างวอีกว่า ทั้งนี้เมื่อพิจารณา 3 ร่าง จะเห็นว่าทุกร่างมีหลักการใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่แตกต่างมีประมาณ 2 ข้อ คือ สสร. แต่ละร่างมีจำนวนและที่มาแตกต่างกัน เช่นเพื่อไทย มี 151 คน ประชาชนมี 135 คนแลพภูมิใจไทยกับพรรคร่วมรัฐบาลมี 99 คน และอีกประการ ความแตกต่างในหมวด 1 และ 2 ซึ่งมีร่างที่ห้ามแตะ และร่างที่ไม่ได้มีข้อห้าม ซึ่งสมาชิกแต่ละพรรคได้อภิปรายไปแล้ว ซึ่งร่างของพรรคเพื่อไทย ระบุว่าห้ามเปลี่ยนแปลงการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และห้ามเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ ซึ่งมีระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอยู่แล้ว แต่ร่างนี้ไม่มีบทบัญญัติแตะหมวด 1 และ 2 ระบุไว้ ส่วนร่างของพรรคประชาชน ก็เช่นเดียวกันกับพรรคเพื่อไทย แต่ร่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาลระบุไว้ว่า การแก้ไขในหมวดหนึ่งและหมวดสองจากกระทำไม่ได้ หากรัฐสภาวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญมีลักษณะเป็นแก้ หมวด1หมวด 2 ให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้นตกไป ดังนั้นวันนี้รัฐสภาต้องพิจารณาลงมติใน 2 ประเด็นหลักคือ เห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใดบ้างถเาแยกลงมติ และการลงมติ จะใช้เรื่องใดเป็นหลักในการพิจารณาในวาระที่สอง
สำหรับตนขอยืนยันจุดยืน และเพิ่มข้อเสนอแนะ 4 ข้อ
1. พร้อมสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เปิดทางให้มีสสร. ขึ้นมายกร่างฉบับใหม่แต่ต้องไม่แตะ หมวด 1 หมวด 2
2. หากจะต้องลงมติว่าจะต้องต้องใช้ร่างใดเป็นหลัก ในการพิจารณาวาระ 2 คือใช้ร่างไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เป็นหลัก เพราะเป็นห่วงว่าหากไม่ใช้ร่างดังกล่าวนี้อาจจะเป็นหัวเชื้อที่นำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบปลายเปิด และอาจจะนำไปสู่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงหมวด 1 หมวด 2 ในอนาคต
3. การยกร่างแก้ไข รัฐธรรมนูญต้องไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องที่มาของสสร. เพื่อทำให้การแก้ไขครั้งนี้เป็นหมัน
4. รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ถ้ามีสสร. ยกร่าง ควรมีเจตจำนงในการส่งเสริมคดีปกครองบ้านเมือง ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 160 (4)(5) ผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจสำคัญ รัฐมนตรี นอกจากจะมีคุณวุฒิและวัยวุฒิตามที่กำหนด ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพื่อให้การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับสนองตอบและคงมาตรฐานต่อผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจทางการเมืองและตำแหน่งสำคัญของบ้านเมือง เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม
Advertisement