ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบ มาตรการกระตุ้นผู้บริโภคในโครงการคนละครึ่งพลัส นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวโดยระบุว่า คนละครึ่งพลัส" เป็นไปตามที่ได้แถลงนโยบายต่อสภาฯ เพื่อต้องการแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศ สู้กับภัยเศรษฐกิจ และให้ประชาชนได้จับจ่ายใช้สอย โดยในไตรมาส 4 มีแนวโน้มเศรษฐกิจจะติดหล่ม และจะชะลอตัวลง โครงการดังกล่าวจึงเป็นโครงการเรือธงที่เสริมบัตรสวัสดิการเติมเงินไปเมื่อ มติ ครม.สัปดาห์ที่แล้ว
นายเอกนิติ ยังกล่าวว่า โครงการดังกล่าว ถือว่า กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว คือ การช่วยประชาชน 20 ล้านสิทธิ์ ในการลดรายจ่ายโดยรัฐจะสมทบคนละครึ่ง และช่วยร้านค้ารายย่อยต่าง ๆ มีสิทธิเพิ่มรายได้ จากยอดใช้จ่ายของประชาชนผ่านโครงการดังกล่าว และกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลยาว คือ พลัส 2 เรื่อง คือ คนในรายภาษีจะได้เงิน 2,400 บาท ขณะที่คนทั่วไปจะได้ 2,000 บาท จากโครงการนี้
พลัสที่ 3 คือ การเพิ่มทักษะให้พ่อค้าแม่ค้าให้มีทักษะในเรื่องการค้าขายที่เก่งมากขึ้นผ่านเทคโนโลยี และรู้ต้นทุนลดเพื่อรายจ่ายได้ และใช้เทคโนโลยีช่วยในการค้าขายเช่น AI ซึ่งจะเป็นโครงการที่รัฐบาล โดยมุ่งเน้นเป็นเครื่องจักรตัวหนึ่งที่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยไม่ให้ติดหล่ม
โครงการคนละครึ่งพลัส ขอสรุปว่า แตกต่างจากโครงการเดิมอย่างไร ซึ่งจะเพิ่มประชากรจากเดิม อายุ 18 ปี ขึ้นไป ครั้งนี้ 16 ปีขึ้นไป เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่มีกำลังซื้อมากขึ้น สามารถมีรายได้มากขึ้น ค้าขายได้มากขึ้น จะมีสิทธิเข้าโครงการดังกล่าวด้วย
และพลัสที่ 2 เพิ่มเงินสมทบจากเดิม 150 บาทต่อวันเป็น 200 บาทต่อวัน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และเพิ่มวงเงินคนที่อยู่ในระบบภาษี 2,400 บาท พลัสที่ 4 เพิ่มผู้ประกอบการรายย่อย (มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี) ซึ่งแต่เดิมให้เฉพาะผู้ค้าทั่วไปแต่เพิ่มนิติบุคคลมาด้วย และพลัสที่ 5 อัพสกิล และรีสกิลให้พ่อค้าแม่ค้าด้วย ใช้ AI ในการขยายธุรกิจ
ทั้งหมดเป็นไปตามแนวคิด Quick Big Win ฉะนั้นวันนี้จึงจะใช้แอปฯ "เป๋าตัง" และ "ถุงเงิน" ที่ประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้วมาใช้ในโครงการ ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที โดยแหล่งเงินของโครงการใช้งบประมาณเดิมจากที่รัฐบาลได้อนุมัติในปี 69 วงเงิน 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท รวม 4,4000 ล้านบาท ครึ่งหนึ่งจากส่วนของรัฐ และอีกครึ่งหนึ่งมาจากประชาชน 44,000 ล้านบาท และรวมเงินที่เติมบัตรสวัสดิการ 23,000 ล้านบาท ก็รวมประมาณ 100,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ร้อยละ 0.3 - 0.4 ของ GDP
ทั้งนี้ ในวันที่ 15 ตุลาคม-19 ธันวาคม 68 จะเปิดให้ร้านค้าใหม่ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ส่วนร้านค้าเดิมที่เคยอยู่ในโครงการคนละครึ่งเฟส 5 (ปี 2565) ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ โดยให้อัปเดตแอปฯ เป๋าตัง ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด เพียงกดเมนู ‘คนละครึ่งพลัส’ แล้วกด ‘ยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไข’ ในแอปฯถุงเงิน ก็จะสามารถเริ่มใช้จ่ายในวันที่ 29 ตุลาคม 68
และวันที่ 20 - 26 ต.ค.นี้ จะเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการ และจะเริ่มใช้ วันที่ 29 ต.ค. - 31 ธ.ค.นี้ โดยผู้ใช้สิทธิ์จะต้องใช้สิทธิ์ครั้งแรกภายในวันที่ 11 พ.ย.เวลา 23.00 น. เพื่อไม่ให้โดนตัดสิทธิ์ตามเงื่อนไขของโครงการ โดยเชื่อว่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยจากการติดหล่มในช่วงไตรมาสที่ 4 ได้ ส่วนที่ร้านค้ามีความกังวลเรื่องการจัดเก็บภาษีย้อนหลัง นายเอกนิติ ยืนยันว่า จะไม่มีการนำรายได้จากโครงการนี้ เข้าสู่ระบบภาษีแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในโครงการคนละครึ่งพลัส สามารถ ใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.- 31 ธ.ค.68 สำหรับประชาชนให้ใช้สิทธิ์ผ่านแอปฯ เป๋าตัง เท่านั้นโดยสั่งอาหารได้ตั้งแต่เวลา 06:00 น. ถึง 21:00 น. ของทุกวัน ขณะที่ผู้ประกอบการนั้นร้านค้าในโครงการคนละครึ่งพลัส ต้องกดสมัครฟู้ดเดลิเวอรี่ผ่านแอปฯ ถุงเงินให้สำเร็จก่อน จากให้เลือกผูกแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ผ่านแอปฯ ถุงเงิน ได้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย.68 เวลา 06.00 น. ถึง 23.00 น. เฉพาะร้านค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น
Advertisement