Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
"พีระพันธุ์"โต้ข้ออ้างกฤษฎีกาตีตกร่างพ.ร.บ.โซลาร์เสรี ย้ำกม.ไม่ซ้ำซ้อน

"พีระพันธุ์"โต้ข้ออ้างกฤษฎีกาตีตกร่างพ.ร.บ.โซลาร์เสรี ย้ำกม.ไม่ซ้ำซ้อน

6 ต.ค. 68
16:00 น.
แชร์

"พีระพันธุ์" โต้ข้ออ้างกฤษฎีกาตีตกร่างพ.ร.บ.โซลาร์เสรี  ย้ำกฎหมายไม่ซ้ำซ้อน ไม่กระทบสิทธิประชาชนแต่กลุ่มทุนเอกชนจะเสียประโยชน์มหาศาล ลั่นพร้อมสู้ต่อ!”

วันนี้ (6 ตุลาคม 2568) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ  ชี้แจงถึงกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกา ไม่เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ ร่าง พ.ร.บ.โซลาร์เสรี ที่ตนเป็นผู้เสนอในนามกระทรวงพลังงานและผ่านความเห็นชอบแล้วจากคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาว่า  สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่มีอำนาจหน้าที่ปัดตกร่างกฎหมายที่ได้ผ่านการอนุมัติจาก ครม. แล้ว เพราะหน้าที่หลัก ๆ ของคณะกรรมการกฤษฎีกามีอยู่ 2 ส่วน คือ การให้ความเห็นปรับปรุงร่างกฎหมายตามมติ ครม. เพื่อให้กฎหมายสมบูรณ์มากขึ้น และการเสนอแก้ไขกฎหมายเก่าที่มีอยู่หรือเสนอยกร่างกฎหมายใหม่เพื่อให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน  ดังนั้น  คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงไม่มีอำนาจในการล้มล้างร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านมติ ครม. แล้ว  เว้นแต่ ครม.ชุดใหม่ จะมีมติใหม่เพื่อยกเลิกร่างกฎหมายดังกล่าว  แต่ตนอยากเรียกร้องให้รัฐบาลปัจจุบันสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชน

ในส่วนข้อกล่าวอ้างของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ว่าร่างกฎหมายฉบับนี้มีความซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว  ก็ไม่เป็นความจริงและเป็นความเข้าใจผิด  โดยนายพีระพันธุ์ย้ำว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังเคยไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้พลังงานอาทิตย์เป็นการเฉพาะ และร่างกฎหมายฉบับนี้ยังมีหลักการและเจตนารมณ์ที่แตกต่างจากกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันทั้ง 6 ฉบับ ไม่ว่าจะเป็น 1) พ.ร.บ.โรงงาน โดย กรมโรงงานอุตสาหกรรม 2) พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน โดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน 3) พ.ร.บ.ผังเมือง โดย กรมโยธาธิการและผังเมือง 4) พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร โดย สำนักงานเขต/องค์การบริหารส่วนตำบล 5) พ.ร.บ.พัฒนาและส่งเสริมพลังงาน โดย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน 6) ระเบียบของการไฟฟ้านครหลวง, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

นายพีระพันธุ์ระบุว่า กฎหมายทั้ง 6 ฉบับนี้  มีหลักการที่แตกต่างกันและอยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานที่ต่างกัน  อีกทั้งยังเน้นการ “ควบคุม” ไม่ใช่การ ‘ส่งเสริม” ดังนั้น การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่เพื่อรองรับหลักการส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ จึงไม่สามารถทำได้เพราะกฎหมายเหล่านั้นไม่ได้เจาะจงเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์โดยเฉพาะ และจำเป็นต้องออกเป็นกฎหมายใหม่แทนการแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่แล้วทีละฉบับ  เพราะกลไกตามกฎหมายเดิมที่มีอยู่ไม่เพียงพอและไม่ตอบโจทย์การส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์อย่างแท้จริง

นอกจากนี้  นายพีระพันธุ์ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับมาตรฐานการพิจารณาให้ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า  ร่างกฎหมายฉบับอื่นๆ ซึ่งเป็นการออกกฎหมายใหม่เพิ่มเติมจากกฎหมายเดิมที่มีอยู่เพื่อให้เกิดความคล่องตัวรวดเร็ว  เช่น ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน  กลับไม่โดนปัดตกจากคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยข้ออ้างเกี่ยวกับความซ้ำซ้อน ทั้ง ๆ ที่มีกฎหมายด้านสถาบันการเงินมากมายบังคับใช้อยู่แล้ว  หรือ กรณีของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  ทำไมจึงออกเป็นกฎหมายใหม่ได้ ทั้ง ๆ ที่กฎหมายอาญาก็สามารถยึดเงินที่ผิดกฎหมายได้เช่นกัน ทำไมไม่เสนอให้ปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องออกกฎหมาย ปปง. แบบเดียวกันกับที่ยกมาเป็นข้ออ้างในกรณี ร่าง พ.ร.บ.โซลาร์เสรี ซึ่งแสดงให้เห็นถึง "มาตรฐานที่ต่างกัน" ในการพิจารณา

สำหรับข้อกล่าวอ้างที่ว่า ร่าง พ.ร.บ.โซลาร์เสรี กระทบสิทธิเสรีภาพประชาชนก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน  แต่ในทางกลับกัน ร่างกฎหมายนี้กลับให้สิทธิและโอกาสแก่ประชาชนเข้าถึงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้มากขึ้น สะดวกขึ้น และรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนจากระบบ “ขออนุญาต” ติดตั้งโซลาร์เซลล์  ที่ปัจจุบันต้องขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐถึง 5 หน่วยงาน มาเป็นระบบ “แจ้งติดตั้ง” เพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมให้ประชาชนได้มีทางเลือกในการใช้พลังงานมากขึ้น  พร้อมย้ำว่าแสงแดดเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ทุกคนมีสิทธิใช้ได้ มีสิทธิเข้าถึง โดยไม่ควรมีการจำกัด หรือต้อง “ขออนุญาต”

ส่วนประเด็นที่ว่า ร่างกฎหมายนี้จะสร้างภาระให้ประชาชนเกินความจำเป็น  นายพีระพันธุ์ชี้แจงว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยลดภาระให้ประชาชนมากกว่าสร้างภาระ เพราะประชาชนจะได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงจากการผลิตไฟใช้เอง ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตติดตั้งโซลาร์เซลล์  อีกทั้งยังมีมาตรการสร้างแรงจูงใจทางภาษีให้กับผู้ติดตั้ง จึงไม่มีส่วนใดที่สร้างภาระให้ประชาชนตามที่กล่าวอ้าง

สำหรับข้ออ้างที่ว่า การส่งเสริมการใช้พลังงานไม่ควรตราเป็นกฎหมาย  เพราะธรรมชาติของกฎหมายคือการ “จำกัดสิทธิ” ไม่ใช่การส่งเสริมกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง  ก็เป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง  โดยนายพีระพันธุ์กล่าวแย้งว่า  กฎหมายทุกฉบับต้องออกภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ  ซึ่งมีหลักการไม่ให้จำกัดสิทธิของประชาชน เว้นแต่มีความจำเป็นที่ชัดเจน ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จึงสอดคล้องกับหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยการไม่จำกัดสิทธิประชาชน  และเป็นการให้สิทธิแก่ประชาชนในการติดตั้งระบบโซลาร์อย่างเสรี

ในประเด็นเกี่ยวกับบทลงโทษนั้น นายพีระพันธุ์ชี้แจงถึงความจำเป็นที่ต้องมีบทลงโทษว่า หากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแนะนำให้ดำเนินการแก้ไขเพื่อความปลอดภัยของผู้ติดตั้งและผู้อื่นที่อาจได้รับอันตราย แล้วผู้ติดตั้งไม่ยอมแก้ไข ก็จำเป็นต้องมีบทลงโทษให้แก้ไขเพื่อความปลอดภัยของผู้ติดตั้งเองและผู้อื่นที่อาจจะได้รับผลกระทบ โดยบทลงโทษในร่างสุดท้ายก็ได้มีการปรับลดความรุนแรงลงแล้ว

นายพีระพันธุ์เปิดเผยอีกว่า ผลจากกฎหมายฉบับนี้จะทำให้เอกชนบางกลุ่มเสียผลประโยชน์มหาศาล เพราะการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาผลิตไฟฟ้าใช้เอง จะทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนลดลง โดย ณ สิ้นปี 2567 กฟผ. มีภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าเอกชนรวมทั้งสิ้นกว่า 4 แสนล้านบาท

“หากผมยังอยู่ในรัฐบาล จะไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด และจะสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี  ผมไม่ได้ท้อหรือหมดหวังในการเดินหน้าทำงานการเมือง  ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่า ผมและพรรครวมไทยสร้างชาติจะ ‘สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง’  เพื่อทำงานรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนต่อไป” นายพีระพันธุ์ กล่าวทิ้งท้าย

Advertisement

แชร์
"พีระพันธุ์"โต้ข้ออ้างกฤษฎีกาตีตกร่างพ.ร.บ.โซลาร์เสรี ย้ำกม.ไม่ซ้ำซ้อน