เมื่อเวลา 11.20 น. นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำว่า ตอนนี้มีฝนตกลงมามากกว่าที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ไว้ เป็นเหตุให้เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ต้องปล่อยระบายน้ำออกมาแล้วให้เขื่อนเจ้าพระยารองรับน้ำด้วย แต่เราบริหารจัดการน้ำทั้ง 3 เขื่อนได้สมดุลแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนปี 54 ส่วนเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนโดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดกับชาวนา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้เร่งแก้ปัญหาเนื่องจากระเบียบเดิมชดเชยไม่ครอบคลุม เช่นกรณีนาข้าวระเบียบเขียนไว้ว่าชดเชยกรณีเสียหายโดยสิ้นเชิง แต่บางกรณีที่ชาวนาหว่านเมล็ดข้าวไปแล้ว หรือดำนาข้าวไปแล้วเกิดน้ำท่วมจะนำเรื่องนี้เข้าหารือว่าจะชดเชยบางส่วนได้หรือไม่เพราะชาวนาเขาลงทุนไปแล้ว
นายโสภณ ยังกล่าวอีกว่า แม้ว่ารัฐบาลนี้เพิ่งเข้ามาทำงานแต่ได้มีการขับเคลื่อนแก้ปัญหาน้ำท่วมมาโดยตลอดไม่มีวันหยุด และขอให้มั่นใจว่าการบริหารจัดการ ณ ขณะนี้ เราเอาอยู่ไม่เหมือนปี 54 แน่นอน เมื่อถามว่ากทม.น้ำจะไม่ท่วมใช่หรือไม่ นายโสภณ กล่าวว่า เอาเป็นว่าน้ำไม่เหมือนปี 54 แน่นอน ณ วันนี้ยังไม่ท่วมเรามั่นใจว่าการบริหารจัดการเรารับมือได้ เราทราบดีว่าภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นภัยธรรมชาติที่บางทีไม่เคยเกิดมาก่อน ถ้าไม่มีสิ่งมหัศจรรย์ที่ตกลงมาแบบรับไม่ได้กรุงเทพฯก็จะไม่ท่วม แต่การรอระบายก็อาจจะมีบ้าง นายกฯให้ความสำคัญการแจ้งเตือนประชาชนต้องเร็วแม้น้ำจะท่วมแต่ประชาชนต้องรับรู้ก่อน ยืนยันด้วยการบริหารจัดการที่ดำเนินการอยู่น้ำจะไม่ท่วมเหมือนปี 54 แน่นอน
ขณะที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยโจมตีว่านายกรัฐมนตรีไม่ลงพื้นที่น้ำท่วมว่า จากที่ได้เห็นในภาพข่าว นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วมตั้งแต่ก่อนแถลงนโยบายแล้ว ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน ทั้งในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และพื้นที่อื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ในข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 เรื่องแรกที่ท่านให้ความสำคัญคือปัญหาน้ำท่วม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจริงใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
สำหรับกรณีที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ชายแดนมากกว่าพื้นที่น้ำท่วมนั้น นายสิริพงศ์กล่าวว่า เป็นเพราะแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง หลังจากแม่ทัพคนเดิมเกษียณอายุราชการ การลงพื้นที่จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กำลังใจและยืนยันกับฝ่ายความมั่นคงว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนเต็มที่ รวมถึงติดตามมติที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงจากที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้นายกรัฐมนตรีอยู่ชายแดน ก็ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีคนอื่นๆ ลงพื้นที่ เช่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงกระทรวงศึกษาธิการ ติดตามดูแลสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด โดยเน้นการดูแลแบบครบวงจร ไม่ใช่แค่ไปเดินเยี่ยมตอนน้ำลงแล้ว แต่วันนี้น้ำกำลังท่วมอยู่การดูแลต้องทำทั้งระบบ ทั้งการอพยพประชาชน การตัดกระแสไฟฟ้าในพื้นที่เสี่ยง และการดูแลผู้ป่วยติดเตียงด้วย ซึ่งในวันที่ 4–5 ตุลาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม และร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปดูสถานการณ์น้ำในภาพรวม พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายกระทรวงร่วมกันดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงบ่ายวันนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 เพื่อติดตามสถานการณ์ด้วย และเมื่อวานนี้นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจหัวใจติดปีกและระหว่างรอแพทย์ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจก็ได้แวะไปดูน้ำท่วมที่จังหวัดอุดรธานี นี่แสดงออกให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของนายกรัฐมนตรี แต่การนำเสนอภาพข่าวบางภาพ คนสองคนอยู่คนละที่ คงเป็นไปได้อยากที่จะเห็นเขาเอาภาพนายกรัฐมนตรีของเรามาลงในพื้นที่เดียวกัน ยืนยันนายกรัฐมนตรีให้สนใจ ความสำคัญในการปกป้องกัน การอพยพและการเยียวยาน้ำท่วม
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าพรรคเพื่อไทยลงพื้นที่ตัดหน้านายกรัฐมนตรีนั้น นายสิริพงศ์กล่าวว่า ตนเองไม่ได้มองว่าการลงพื้นที่ก่อนจะถือเป็นการตัดหน้า ตนคิดว่าพื้นที่ใคร ใครใกล้ก็ไปก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าไปก่อนแล้วทำดีกว่า ไม่ได้แปลว่าอย่างนั้น
Advertisement