การเมืองไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งสำคัญอีกครั้ง โดยประเด็นใหญ่ที่ถูกจับตาคือที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ว่าจะจัดตั้งขึ้นอย่างไร และจะมีโครงสร้างแบบไหน พรรคการเมืองหลักๆ จึงต่างนำเสนอโมเดล สสร. เพื่อใช้เป็นกรอบในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
แม้จะมีจุดร่วมกันคือการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่รายละเอียดวิธีการสรรหาและโครงสร้างกลับมีความแตกต่างกัน
ก่อนจะไปดูโมเดลของแต่ละพรรค ประเทศไทยเคยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาแล้วทั้งหมด 4 ชุด ได้แก่
• สภาร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2491
• สภาร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2502
• สภาร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2539
• สภาร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2550
แต่ละชุดถูกจัดตั้งขึ้นในบริบทการเมืองที่ต่างกัน มีทั้งที่มาจากการแต่งตั้งโดยตรง และที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางอ้อม
สภาร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2491
สสร. ชุดแรก จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490 เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 สมาชิกมี 2 ส่วน คือ สมาชิกที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทน กับสมาชิกที่ไม่ใช่สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทน รวม 40 คน
สภาร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2502
สสร. ชุดที่ 2 ตั้งขึ้นตามธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 มี 240 คน ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และทำหน้าที่นิติบัญญัติด้วย พระราชบัญญัติต่างๆ ต้องออกโดยคำแนะนำและยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งนี้ โดยสมาชิกส่วนใหญ่เป็นทหารและข้าราชการ
สภาร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2539
สสร. ชุดสำคัญ พ.ศ. 2539 จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2539
สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ ที่ประชุมรัฐสภาสรุปให้ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 99 คน โดยมีที่มาจากตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งประชาชนทางอ้อมทั้งหมด 76 จังหวัด และตัวแทนนักวิชาการ เสนอรายชื่อโดยสถาบันการศึกษา จำนวน 23 คน
ส่วนสมาชิกที่เป็นของตัวแทนประชาชนมีที่มา 3 ขั้นตอน ดังนี้
1.จากการเลือกตั้งของประชาชนในจังหวัดนั้นๆ
2.ให้ผู้สมัครคัดเลือกกันเองให้เหลือจังหวัดละ 10 คน รวมเป็น 760 คน
3.จากนั้นจึงส่งรายชื่อทั้ง 760 คน ให้สมาชิกรัฐสภา
ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาคัดเลือกขั้นสุดท้ายให้เหลือจังหวัดละ 1 คน รวม 76 คน โดยสมาชิกที่กล่าวถึงทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและตัวแทนนักวิชาการก็คือสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร.
สภาร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2550
สสร. ชุดนี้จัดตั้งเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 โดยมาจากการสรรหาของสมัชชาแห่งชาติ พ.ศ. 2549 จำนวน 1,982 คน คัดเหลือ 200 คน ก่อนที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ จะเลือกให้เหลือ 100 คน เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2549
สมาชิกประกอบด้วยภาครัฐ 28 คน เอกชน 27 คน ภาคสังคม 23 คน และวิชาการ 22 คน หากแบ่งตามภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ 10 คน ภาคกลาง 68 คน อีสาน 12 คน และใต้ 10 คน ต่อมาได้คัดเลือกกันเองเหลือ 25 คน และ คมช. แต่งตั้งเพิ่มอีก 10 คน รวมเป็น 35 คน ทำหน้าที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีที่มาจากการแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 มีสมาชิก 21 คน มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ สมาชิก คสช. เป็นประธาน
ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2559 โดยมีผู้มาใช้สิทธิร้อยละ 61.35 เห็นชอบ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 หลังจากมีการแก้ไขตามพระบรมราชวินิจฉัย
โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีทั้งหมด 279 มาตรา มากเป็นอันดับที่ 3 ของรัฐธรรมนูญไทย และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการสืบทอดอำนาจของ คสช.
โดยเฉพาะการกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดแรก 250 คน มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. ทั้งหมด และให้อำนาจ สว. มีสิทธิร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้
ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกวิจารณ์และมีการเรียกร้องให้แก้ไขเพิ่มเติมอยู่หลายครั้ง แต่จนถึงปัจจุบันยังมีการแก้ไขเพิ่มเติมเพียงครั้งเดียวคือเพื่อเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง ส่วนประเด็นยกเลิกวุฒิสภาจากการแต่งตั้งซึ่งเป็นข้อเรียกร้องสำคัญข้อหนึ่งของการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2564 ไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา
"จากสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าที่มาของ สสร. มีทั้งการแต่งตั้งโดยรัฐและการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งแนวทางเหล่านี้ยังสะท้อนอยู่ในโมเดล สสร. ที่แต่ละพรรคการเมืองเสนอสำหรับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่"
โมเดล สสร. ของ 3 พรรคการเมือง “ภูมิใจไทย – ประชาชน – เพื่อไทย”
• พรรคภูมิใจไทย - สสร. 99 คน
ยึดมาจากโมเดลการแก้รัฐธรรมนูญ ปี 2539 เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นตัวตั้ง
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก
กลุ่มตัวแทนจังหวัด 77 คน
แต่ละจังหวัดได้ตัวแทน 1 คน โดยผู้สนใจสมัคร ส.ส.ร. ลงในจังหวัดนั้น ๆ จากนั้น รัฐสภาเป็นผู้คัดเลือก ให้เหลือจังหวัดละ 1 คน
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 22 คน
แบ่งเป็น นักนิติศาสตร์ 7 คน, นักรัฐศาสตร์ 7 คน, และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ อีก 8 คน
ผู้สมัครสามารถสมัครใน 3 ช่องทางตามสาขาวิชาที่กำหนด หลังจากครบจำนวน สภาจะคัดเลือกตามสัดส่วนให้ครบ 22 คน
ส.ส.ร. 99 คนนี้จะเป็นผู้สรรหา คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จำนวน 25 คน เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับจริง
• พรรคเพื่อไทย - สสร. 143 คน
สำหรับพรรคเพื่อไทย โมเดลการเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ผ่าน 2 ทางเลือก ใช้วิธีเลือก สส. เป็นต้นแบบคือแบบเขตกับแบบบัญชีรายชื่อ
พรรคเพื่อไทยเสนอ สสร. ราว 143 คน โดยแบ่งตามกลุ่มผู้สรรหา
100 คนจากประชาชน “เลือกทางอ้อม”
ประชาชนเลือกผู้สมัคร 200 คน แล้วรัฐสภาคัดเลือกเหลือ 100 คน
40 คนจากองค์กรวิชาการ ภาคประชาชน และวิชาชีพ
กลุ่มวิชาการ 40 คนนี้จะเป็นฐานในการเลือก กรธ.
พรรคเพื่อไทยยังเสนอ หมวด 15/1 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อกำหนดที่มาของ ส.ส.ร. โดยเฉพาะ
• พรรคประชาชน - สสร. 135 คน
พรรคประชาชนเสนอโมเดล 2 คณะ ได้แก่
คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน
ประชาชนสรรหา 70 คน ผ่านระบบบัญชีรายชื่อ
รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน เป็นคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ
คณะผู้แทนประชาชน 100 คน
เลือกตั้งโดยตรงในแต่ละจังหวัด (1–5 คน/จังหวัด)
ทำหน้าที่สะท้อนและรวบรวมความคิดเห็นประชาชนให้คณะผู้ร่าง
สสร.และคณะผู้ร่างของพรรคประชาชนจะต้อง ส่งรัฐสภาเห็นชอบ และหากผ่านแล้วจึงส่งประชามติ
Advertisement