(3 ก.ย. 2568) ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศบ.ทก.ด้านความมั่นคง แถลงสรุปภาพรวมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่สสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนยังคงอยู่ในภาวะสงบ ไม่มีเหตุรุนแรงเพิ่มเติม ทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องตามมาตรการความปลอดภัย
โดยโฆษก ศบ.ทก. สรุปสถานการณ์ด้านความมั่นคง 4 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
ประเด็นที่ 1 : สถานการณ์ด้านความมั่นคง สถานการณ์โดยรวมบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ ยังคงปกติ ไม่มีความเปลี่ยนแปลงจากช่วงที่ผ่านมา การประสานงานระหว่างหน่วยงานทั้งสองประเทศยังดำเนินไปอย่างราบรื่น
ประเด็นที่ 2 : ผลการดำเนินงานของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2568 กองบัญชาการกองทัพไทยได้นำคณะ IOT ลงพื้นที่ หน่วยบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด ซึ่งอยู่ภายใต้กองทัพเรือ โดยได้ตรวจเยี่ยมจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก และสำรวจ หลักเขตแดนที่ 73 ซึ่งเป็นหลักเขตแดนสุดท้ายทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา และคณะยังได้เดินทางไปกองร้อยทหารพรานที่ 537 เพื่อติดตามงาน เก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งดำเนินการในพื้นที่ภูมิประเทศที่เข้าถึงยาก และบางครั้งต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังติดอาวุธของกัมพูชา แสดงถึงความท้าทายของภารกิจดังกล่าว
นอกจากนี้ คณะยังเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ศูนย์ราชการุณย์เขาล้าน จ.ตราด ซึ่งเคยเป็นสถานที่พักพิงชาวกัมพูชาที่หนีสงครามระหว่างปี 2521-2532 และต่อมาได้รับการพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และคณะ IOT ยืนยันว่า ภารกิจทั้งหมดดำเนินไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และเป็นไปตามข้อตกลงหยุดยิง โดยจะรายงานผลการสังเกตการณ์ต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดและกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ คณะไม่มีอำนาจตัดสินถูกผิด ทำหน้าที่เพียงสังเกตการณ์และเก็บข้อมูลอย่างเป็นกลาง
ประเด็นที่ 3 : แผนประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) การประชุม GBC สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 2/2568 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-10 ก.ย. 2568 ที่จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา โดย วันที่ 7-9 ก.ย. จะเป็นการประชุมของฝ่ายเลขานุการ และในวันที่ 10 ก.ย. จะเป็นการประชุมใหญ่ GBC และแถลงผลการประชุมที่จังหวัดตราด
ประเด็นที่ 4 : การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนสระแก้ว ที่ประชุม ศบ.ทก. เห็นชอบในหลักการ ข้อเสนอของจังหวัดสระแก้ว เรื่องการเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว โดยมีแผนสร้างรั้วความมั่นคงยาว 16 กิโลเมตร ระหว่างหลักเขตแดนที่ 50-51 พร้อมสำรวจสิทธิครอบครองที่ดิน และดำเนินคดีตามกฎหมายกับชาวกัมพูชาที่บุกรุกป่าไม้ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54 และมาตรา 72 ตรี ข้อเสนอนี้จะถูกนำเสนอให้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ พิจารณาในขั้นต่อไป
ขณะที่นาง มาระตี นะลิตา อันดาโม โฆษกศบ.ทก.ด้านการต่างประเทศ ระบุว่า มี 2 ประเด็นสำคัญ คือ
1. การดำเนินการเชิงรุกในเวทีโลก
โดยระหว่างวันที่ 26-28 ส.ค. ที่ผ่านมา นาย มานิตย์ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนำข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีการวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย ไปชี้แจงกับกลุ่มบุคคลต่างๆที่มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา การเยือนครั้งนี้นอกจากได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ไทยยังยืนยันความมุ่งที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญา และเป็นโอกาสให้เขาได้สอบถามเพื่อปรับความเข้าใจเรื่องต่างๆ ให้ได้เข้าใจถูกต้อง
นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้ประกาศว่าไทยจะเข้าร่วมในโครงการรณรงค์ระดับโลกของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและดำเนินการด้านทุ่นระเบิด และในเวลาเดียวกันเอกอัคราชทูตผู้แทนถาวรไทย ณ นครนิวยอร์ก ได้เข้าพบเลขาธิการสหประชาชาติอีกครั้งเพื่อนำส่งข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์เพิ่มเติมอีกครั้ง ต่อกรณีการวางทุ่นระเบิดของกัมพูชาที่มีทหารไทยบาดเจ็บถึง 6 ครั้ง และยังติดตามการขอรับคำชี้แจงจากฝ่ายกัมพูชาต่อกรณีดังกล่าวผ่านเลขาธิการสหประชาชาติด้วย ทั้งนี้เพื่อนำกัมพูชากลับเข้าสู่การปฏิบัติตามพันธกรณีโดยสมบูรณ์และยุติการใช้ทุ่นระเบิดโดยทันที ไทยต้องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกับกัมพูชาภายใต้กลไกทวิภาคีและตามข้อตกลงหยุดยิง เพื่อคุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ
2. ตอบโต้ข้อมูลบิดเบือนของสื่อกัมพูชา
การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารตามที่ปรากฎรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ขแมร์ ไทม์ส อ้างกรณีที่ชาวกัมพูชาไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ว่าเป็นผลจากอาวุธที่ตกค้างของฝ่ายไทยจากการปะทะกันบริเวณชายแดนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนข้อเท็จจริง และการกระทำในพื้นที่สวนทางกับข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงมาโดยตลอด ทั้งด้วยการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การใช้โดรน การปลุกระดมประชาชน และล่าสุดยังพบการใช้ระเบิดแสวงเครื่องในฝั่งไทย และเร็วๆ นี้มีรายงานจากนิตยสาร Jane’s Defence Weekly ซึ่งเป็นนิตยสารด้านความมั่นคง นำเสนอว่าจากหลักฐานภาพถ่ายดาวเทียมพบการก่อตั้งฐานปฏิบัติการทางทหารในฝั่งกัมพูชาบริเวณชายแดนเป็นหลายเดือนก่อนเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีไทยที่ชี้แจงมาโดยตลอดว่าฝ่ายกัมพูชาริเริ่มการโจมตีในครั้งนี้
ไทยห่วงกังวลต่อการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายกัมพูชาที่ทำอย่างเป็นระบบ ซึ่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้หยิบยกขึ้นหารือกับรมว.การต่างประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย โดย OHCHR มองเป็นปัญหาระดับโลกเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ การกระทำดังกล่าวไม่เพียงบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้วางใจระหว่างกัน และยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการหาทางออกโดยสันติ ไทยจึงเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่ไม่สร้างสรรค์ในลักษณะนี้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศและสันติภาพในภูมิภาค สุดท้ายนี้ไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากัมพูชาจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ ทั้งนี้ไทยยังยืนยันท่าทีการแสวงหาทางออกร่วมกันกับกัมพูชาอย่างสันติ เพื่อให้สถานการณ์ชายแดนคลี่คลาย
ด้าน น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. ถึง 2 ก.ย. ที่ผ่านมา เกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดน 45 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 22 ราย บาดเจ็บ 40 ราย บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 885 หลัง ซ่อมแล้ว 683 หลัง (ร้อยละ 77) พื้นที่การเกษตรเสียหาย 556 ไร่ ปศุสัตว์สูญหายกว่า 782 ตัว โรงเรียน 29 แห่ง สถานพยาบาล 1 แห่ง ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ปะทะ โดยรัฐบาลจ่ายเยียวยาไปแล้วกว่า 34 ล้านบาท และจ่ายเงินช่วยเหลือรวมกว่า 201 ล้านบาท ครอบคลุม 6 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี สระแก้ว และตราด
นอกจากนี้ ครม.มีมติเห็นชอบ ยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาซึ่งจะครอบคลุมกรณีของผู้เสียชีวิตและทุพพลภาพเป็นเงิน 136 ล้านบาท ในกรณีผู้บาดเจ็บสาหัส 37 รายเป็นเงิน 29 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นกว่า 165 ล้านบาท ทั้งนี้รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลพี่น้องประชาชนเพื่อให้ได้รับเงินเยียวยาในครั้งนี้อย่างครบถ้วนและเร็วที่สุด
Advertisement