พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และ น.อ.กฤษณัส กาญจนกุล ผู้ช่วยเลขานุการ คณะทำงานบูรณาการระบบอากาศยานไร้คนขับ และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับกองทัพอากาศ แถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก.
โดย พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า สถานการณ์บริเวณชายแดนในช่วงที่ผ่านมาถือว่าทั้งสองฝ่ายยังตรึงกำลังในฐานที่ตั้ง ไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวของกำลังที่สำคัญ ในช่วงเวลาดังกล่าวมีการตรวจพบการลักลอบวางทุ่นระเบิดของทหารหน่วย BHQ ของกัมพูชา ในพื้นที่อธิปไตยของไทย แม้ว่าฝ่ายไทยจะได้ผลักดันกลับไปแล้ว แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าทางฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของ GBC อย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายไทยยังคงดำรงการเข้าตรวจและระวังป้องกันกำลังของฝ่ายไทยเช่นกัน
ขณะเดียวกันในช่วงเช้าวันนี้ ( 25 ส.ค. 2568) มีการจัดการประชุม RBC วาระ 1 โดยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด และภูมิภาคทหารที่ 5 ของกองทัพบกกัมพูชา จัดให้มีการประชุมความร่วมมือส่วนภูมิภาคสมัยวิสามัญ ณ ด่านชายแดนถาวรบ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี โดยมีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งจากผลการประชุมทั้งสองฝ่ายเห็นชอบปฏิบัติตามข้อตกลง 13 ข้อของการประชุม GBC เมื่อ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา และได้มีประเด็นทั้งสองฝ่ายเสนอความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปรามสแกมเมอร์หรือขบวนการคอลเซ็นเตอร์ โดยฝ่ายไทยยังเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาแสดงความจริงใจในการร่วมกันผลักดันภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ยังคงตกค้างอยู่ในพื้นที่ ตลอดจนเรื่องของการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์หรือขบวนคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดน ซึ่งต้องรอทางฝ่ายกัมพูชาตัดสินใจและแสดงความจริงใจ
ขณะเดียวกัน ศบ.ทก. ขอบคุณประชาชนชาวไทยทุกคน ที่ได้ส่งกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ พลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ทุกนายในการดำรงรักษาที่มั่นอธิปไตยของชาติตามข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 ซึ่งหนึ่งในสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงอธิปไตยของไทย คือ การเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสา ซึ่งฝ่ายไทยโดยกองกำลังสุรนารีสร้างเสาธงสแตนเลสถาวร โดยชุดทหารช่างจากกองพันทหารช่างที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 และกองพลทหารราบที่ 11 ร่วมกันสร้างขึ้น โดยใช้ระยะเวลาถึง 3 วัน 3 คืน ท่ามกลางสายฝนบนยอดภูมะเขือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญและไทยสามารถรักษาที่มั่นดังกล่าวได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ โดยได้เกิดปรากฏการณ์ที่คนไทยเรามีความเชื่อศรัทธา คือ พระอาทิตย์ทรงกลด ในระหว่างการปฏิบัติการก่อนที่จะมีพิธีอัญเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสาเมื่อ 23 ส.ค. 2568
ขณะเดียวกันกองบัญชาการกองทัพไทย โดยหน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ที่ 53 ได้ปรับปรุงเส้นทางยุทธวิธีของการปฏิบัติงานกองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือและซำแต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยหน่วยได้จัดกำลังพลชุดบรรเทาสาธารณภัยเคลื่อนที่เร็วจำนวน 10 นาย พร้อมยุทโธปกรณ์ เข้าดำเนินการขนย้ายสิ่งของและรื้อถอนร้านสะดวกซื้อ สาขาสถานีบริการน้ำมันบ้านผือ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะตามแนวชายแดนเมื่อ 24 ก.ค. จากจรวดโจมตี
พร้อมเน้นย้ำว่าทางกองทัพไทยและรัฐบาลพร้อมดูแลความมั่นคงของชาติและยืนเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ โดยพร้อมเข้าช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ชุมชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยปกติโดยเร็วที่สุด
ขณะที่การเยียวยาประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้แจ้งความคืบหน้าในที่ประชุม ศบ.ทก. มีการสั่งจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือประชาชนไปแล้ว โดยในวันพรุ่งนี้ 26 ส.ค. ทางสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะนำงบประมาณสั่งจ่ายไปยังพื้นที่ในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดแรก ที่จะได้รับเงิน ต่อจากนั้นเป็น จ.บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ จะทยอยรับตามลำดับไป ซึ่งขึ้นอยู่บนหลักฐานและเอกสารต่างๆของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ หากสามารถยื่นเอกสารได้อย่างครบถ้วน เงินก็จะถึงได้อย่างเร็วขึ้น
โดยสำนักปลัดฯ ยืนยันว่าได้เล็งเห็นถึงปัญหาข้อขัดข้องและความล่าช้าในการสั่งจ่ายงบประมาณออกไปถึงประชาชน ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขให้กระบวนการสั่งจ่าย มีความรวดเร็วเพิ่มมากยิ่งขึ้น จึงต้องขออภัยประชาชน
ขณะที่กันความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการตรวจพบการเข้ามาโจมตีระบบทางไซเบอร์ ทั้งระบบคอมพิวเตอร์ต่างๆ และมีการแฮกข้อมูล ซึ่งไม่ได้นิ่งนอนใจ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ได้ดำเนินการเฝ้าระวังและตรวจสอบภัยคุกคามทางไซเบอร์ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเหตุการณ์ติดตามสถานการณ์และความเสียหายที่เกิดขึ้นและจะร่วมกับทาง ศบ.ทก.กำหนดมาตรการที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินการระหว่างประเทศต่อไป บนข้อมูลที่มีหลักฐานชัดเจน หากตรวจพบเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ สามารถแจ้งศูนย์ประสานการรักษาระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ Thai Search
ด้าน นายนิกรเดช กล่าวว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเดินทางไปเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ระหว่าง วันที่ 26-28 ส.ค. ซึ่งเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการกระทำที่กัมพูชาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในเขตอธิปไตยของไทย จนเกิดเหตุการณ์ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากระเบิดแล้วหลายครั้ง ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นการละเมิด อนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเข้าพบกับหน่วยงานสำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทุ่นระเบิด รวมถึงคณะกรรมการอนุสัญญาออตตาวา เรายืนยันด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์และให้เห็นว่าไทยยึดมั่นในความเปิดเผยอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายโน้มน้าวให้กัมพูชาปฏิบัติตามพันธกรณีอย่างจริงจัง และร่วมมือกับไทยในการเก็บกู้ระเบิดตามแนวชายแดน ทั้งนี้ไทยยังคงยืนหยัดดำเนินการเชิงรุกโดยพร้อมให้ความร่วมมือกับกลไกสากลทุกขั้นตอน เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจและจริงใจ ว่าไทยไม่มีสิ่งใดต้องปกปิด
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังมีกำหนดเข้าพบสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน เพื่อย้ำว่าการดำเนินการทั้งหมดของไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หรือ IHL ซึ่งขอใช้โอกาสนี้แสดงถึงการกระทำของกัมพูชาที่ขัด ต่อหลัก จริยธรรมไม่ว่าจะเป็นการโจมตีเป้าหมาย พลเรือน โดยการนำเด็ก มาใช้ในคลิปวีดีโอ รวมถึงการเปิดการใช้พื้นที่ชุมชนในฐานที่มั่นทางทหาร หรือนำคนชรา ให้ออกมาเป็นด่านหน้าซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรมและขัดต่อกติกาสากลอย่างสิ้นเชิง
นายนิกรเดช ย้ำว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องได้รับความคุ้มครองสูงสุด ประเทศไทยจะยังคงร่วมมือกับประชาคมโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กัมพูชาปฏิบัติตามพันธะกรณีของอนุสัญญาออตตาวาและหลักการสากล โดยกฎหมาย มนุษยธรรมระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง
ขณะที่ น.อ.กฤษณัส กาญจนกุล ผู้ช่วยเลขานุการ คณะทำงานบูรณาการระบบอากาศยานไร้คนขับ และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับกองทัพอากาศ ชี้แจง แนวปฏิบัติเมื่อตรวจพบโดรนในพื้นที่ต่างๆ กองทัพอากาศได้มีการกำหนดห้ามบินโดนในพื้นที่สำคัญ ที่ตั้งทางทหาร และหน่วยงานราชการ ตลอดจนพื้นที่ตามแนวชายแดน โดยทุกพื้นที่ที่บินโดรน จะต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงาน การบินพลเรือน โดยต้องมีการลงทะเบียน และบินได้เฉพาะกลางวันเท่านั้น ขณะเดียวกันหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งหมดได้บูรณาการการต่อต้านโดรน และสกัดกั้น รวมถึงการทำลาย และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร โดยร่วมมือกับทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง ทั้งนี้หากพบการใช้งานโรนที่เข้าข่ายผิดกฎหมายสามารถแจ้งวันเวลา สถานที่พบเห็น และภาพถ่ายหรือวิดีโอคลิป ไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเร็ว
Advertisement