จากกรณีที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ พรรณิการ์ แกนนำคณะก้าวหน้า ระบุเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตอนหนึ่งว่า "มีคนไม่อยากให้สงครามจบ เพราะช่วงเวลาที่เกิดสงคราม คือ เวลาที่ตนเป็นฮีโร่หรือไม่" ซึ่งมีคนนำคลิปดังกล่าวมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลาย
ล่าสุดวันที่ 22 ส.ค. 68 ช่อ พรรณิการ์ เปิดเผยกับ “ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี” ว่า ขอยืนยันว่า ตลอด 2 เดือนของความขัดแย้ง ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมา ตนเองคือคนที่พูดมาโดยตลอดว่า ไม่สนับสนุนให้มีการสู้รบ การต้องปะทะกันเพื่อป้องกันตนเอง เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การรบที่ยืดเยื้อเป็นสิ่งที่ตนเองไม่ได้ต้องการ เพราะตนเองนั่งในห้องแอร์ ไม่สามารถไปพูดแทนทหารแนวหน้าได้ เพราะเขาคือผู้เสียสละ ดังนั้นเรื่องของพี่น้องทหารแนวหน้าที่อยู่ชายแดน ที่ต้องต่อสู้และไม่ได้กลับบ้านไปเจอกับครอบครัว เป็นสิ่งที่ตนเองให้ความสำคัญมาโดยตลอด และตนเองก็พูดมาเสมอว่า ไม่อยากให้มีการปะทะที่ยืดเยื้อ และต้องรบเท่าที่จำเป็น
ส่วนกรณีที่มีการตัดคลิปบางช่วงออกมาเผยแพร่นั้น เพิ่งจะมามีประเด็นเมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมาทั้งที่ตนเองไปออกอากาศรายการหนึ่งเมื่อประมาณ 8 วันที่แล้ว หากได้ฟังในรายการตัวเต็มจะเห็นได้ว่าเป็นการสนทนาที่ต่อเนื่อง ขณะที่ตนเองพูดถึงประเด็นดังกล่าว มีจุดเริ่มต้นมาจากการพูดถึง ฮุน เซน ว่าคนที่ไม่ต้องการจบมากที่สุดก็คือ ฮุน เซน เพราะหากจบตอนนี้เท่ากับ ฮุน เซนแพ้ และตัวของ ฮุน เซน ไม่สามารถตอบประชาชนได้ว่านำพาประเทศมาสูญเสียขนาดนี้แล้วได้อะไรกลับไป
ดังนั้นหากไทยมีความคิดว่ารบให้จบๆ ไป ก็จะเข้าทาง ฮุน เซน ซึ่งการที่กัมพูชาโจมตีไทย และไทยโจมตีกลับ เพื่อป้องกันตัวถือว่าเป็นสิ่งที่ชอบธรรม แต่เมื่อไหร่ที่ไทยโจมตีหรือทิ้งระเบิดที่กรุงพนมเปญ เหมือนที่หลายๆ คนต้องการ ก็จะทำให้ไทยนั้นเสียเปรียบในเวทีโลก และเข้าทาง ฮุน เซน ซึ่งจะนำเรื่องดังกล่าวไปป่าวประกาศกับประชาคมโลกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า แต่กลับรังแกกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่เล็กกว่า
ประเด็นที่บอกว่าใครอยากเล่นบทฮีโร่ และโหนกระแสชาตินิยม รวมถึงไม่ต้องการให้สงครามนั้นจบ คนแรกก็คือ ฮุเซน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองพูดในรายการ แต่กลับมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็น "ทหารการเมือง" ที่นำคลิปของตนมาเผยแพร่ และปั่นกระแสจนนำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว
ขอยืนยันว่าตนเองไม่ได้หมายถึง ทหารแนวหน้า เพราะทหารแนวหน้าต้องการให้สงครามนั้นจบมากที่สุด เพราะต้องการไปอยู่กับครอบครัว รวมถึงชาวบ้านที่ชายแดนด้วยเช่นกันที่ต้องการให้สงครามนั้นจบ เพราะได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก และต่อให้ เป็นทหารมืออาชีพก็ไม่มีใครอยากเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยที่ไม่จำเป็น
และขอยืนยันว่าการสู้รบกันในครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเลย และส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่เหลวไหลและไร้สาระที่สุด แต่สุดท้ายในเมื่อสู้รบกันแล้วก็ต้องทำให้จบเร็วที่สุด เพราะฝั่งไทยเองก็สูญเสีย ทหารที่เป็นทหารมืออาชีพจะทราบดีว่าเมื่อไหร่ควรรบ เมื่อไหร่ควรรุก และเมื่อไหร่ควรหยุด แต่จะมีทหารการเมืองบางจำพวก ซึ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ในกองทัพ ซึ่งทหารการเมืองกลุ่มดังกล่าว จะอาศัยจังหวะ กระแสต่างๆ เพื่อกลบเกลื่อนในเรื่องที่ตอบไม่ได้ในหลายๆ เรื่อง
ต้องยอมรับว่าหลังมีสถานการณ์การปะทะไทยกัมพูชาขึ้นมา ก็เกิดการฉกฉวยสถานการณ์ อย่างเช่น คดีน้องเมยสุดท้ายเรื่องเงียบ ไม่มีใครพูดต่อ ทั้งที่ขณะนั้นเป็นประเด็นใหญ่มาก หรือแม้กระทั่งเรื่องเรือดำน้ำที่ตกลงไม่ได้เครื่องยนต์เยอรมัน แต่ เป็นเครื่องยนต์จีนก็อาศัยจังหวะชุลมุน ทำเรื่องให้ผ่านกันไป พอประชาชนจะวิจารณ์ ก็จะติดหล่มตรงคำว่า ไม่ได้ ต้องให้กำลังใจทหาร ทั้งที่ไม่เกี่ยวกันระหว่างเรื่องเรือดำน้ำกับเรื่องการรบกันที่ชายแดนไทย -กัมพูชา รวมถึงมีการพูดถึงงบประมาณของกองทัพ งบรถประจำตำแหน่งนายพล 240 ล้าน แต่งบป้องกันชายแดน 5-6 ล้านเท่านั้น จึงอยากให้ประชาชนและพี่น้องทหารแนวหน้า หันมาฟังพรรคประชาชนว่าสิ่งที่พูดไปทั้งหมดนั้น พรรคประชาชนพูดเพื่อพี่น้องทหารแนวหน้ามาโดยตลอด
และขอยืนยันอีกครั้งว่า ผู้ที่ต้องการฉกฉวยสถานการณ์ ต้องการเป็นฮีโร่ในยามศึกสงคราม ไม่อยากให้สงครามจบนั้น และใช้สถานการณ์ดังกล่าวปั่นกระแส เพื่อเอาความนิยมเพื่อกลบเรื่องต่างๆ คนแรก ก็คือ ฮุน เซน และกลุ่มที่ 2 ก็คือ กลุ่มทหารการเมือง ซึ่งตนเองไม่ได้หมายถึงทหารอาชีพแนวหน้า
Advertisement