ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ พลเอก รังษี กิตติญาณทรัพย์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ ถึงประเด็นเรื่องการวางรั้วลวดหนามหีบเพลงบริเวณชายแดน โดยระบุว่าต้องแบ่งเป็น 2 ประเด็น
ประเด็นแรกคือ กองทัพวางลวดหนามหีบเพลง เพื่อป้องกันเขตแดน หากมีการรุกล้ำอธิปไตยเข้ามา ก็สามารถยิงได้เลย
ประเด็นที่สอง การวางลวดหนาม เพื่อป้องกันในเชิงยุทธวิธี เช่นการวางในพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่คิดว่ากัมพูชาจะมาโจมตีไทย แต่กรณีที่ยังเป็นปัญหาอยู่ตอนนี้ คืออย่างที่รักษาการนายกรัฐมนตรีพูด การที่เราล้อมรั้วลวดหนามโดยที่ไม่ได้ทำตามแผนที่ แต่เป็นไปตามข้อตกลงที่มาเลเซีย ที่บอกว่าใครอยู่ตรงไหนหลังเที่ยงคืน ก็ให้อยู่ตรงนั้น การทะเลาะระหว่างไทยกัมพูชา เป็นปัญหาเรื่องชายแดนข้อพิพาท ที่ยึดพื้นที่ไม่เท่ากัน มีการใช้คนละมาตราส่วน จึงทำให้ปัญหาไม่จบสิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำต่อจากนี้ คือต้องยกเลิกMOU 43 / 44 และ ข้อตกลง 13 ข้อ ซึ่งความจริงมี 15 ข้อ แต่กัมพูชาปฏิเสธ 2 ข้อ นั่นก็คือการเก็บกู้ทุนระเบิดร่วมกันและการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ กัมพูชาปฏิเสธเราได้ เราก็ควรปฏิเสธเค้าบ้าง
ตนเองมองว่าวันนี้ปัญหาบ้านเมืองจะจบได้ ก็ควรรบกันให้รู้เรื่องไปเลย ไม่เช่นนั้นต่างคนก็ต่างจะไม่ยอมรับในกติกาของแต่ละฝ่าย เพราะฉะนั้นงานนี้ต้องยกเลิกข้อตกลง หากกัมพูชายังเกเรอยู่ไทยต้องสั่งสอน เวลาตกลงไม่ได้ ทั่วประเทศทั่วโลกก็ต้องรบกัน ไทยมีศักยภาพในการรบสูงกว่า ควรจัดการให้ได้
การรบระหว่างไทยและกัมพูชาครั้งนี้ ตนรู้สึกว่ามีความแปลกเกิดขึ้น เหมือนเป็นการสร้างละครขึ้นมา แต่บังเอิญว่าบางช่วงบางตอนไม่เป็นไปตามบท จึงออกทะเลกันไปไกล ตอนนี้ไม่มีจุดจบหาจุดลงตัวไม่ได้ หากเอาความจริงใจมาคุย ก็จบกันไปแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ยอมรับในข้อตกลงกัน ก็ตกลงกันไม่ได้ ประชาชนก็จะเสียหาย กัมพูชารู้ดีว่าสู้ไทยไม่ได้ จึงมีการปรับแผนตลอดเวลา การที่ชาวกัมพูชาออกมาประชิดรั้วที่ชายแดน เป็นการยั่วยุไทย ซึ่งอยู่ที่ว่าเราจะอดทนได้นานขนาดไหน
แต่อย่างไรก็ตามหากเราอดทนได้ สุดท้ายเชื่อว่าฮุนเซนก็ใช้กำลังเหมือนเดิม เพราะตอนนี้ยังไม่เป็นไปตามเจตนาของเขา เขาต้องการเอาไทยเข้าสู่โต๊ะเจรจาและจะลากลงไปที่อ่าวไทย
ตนเองรู้สึกว่าแปลกๆ รู้สึกว่ามีความเกรงใจฮุนเซน ทั้งที่เค้าด้อยกว่า แต่ทำไมต้องยอมให้เค้ากวนใจ ตนเชื่อว่ามีผลประโยชน์หรือเป็นแผนสมคบคิด ไทยต้องตัดสินใจและเด็ดขาดกับกัมพูชาและให้ยอมเราให้ได้
Advertisement